แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บำรุงตับ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บำรุงตับ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562

ตับ คืออะไร อยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไร

06:38 0 Comments

ตับ คืออะไร อยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไร

          ตับ วางอยู่ในช่องท้องด้านขวาบน มองจากหน้าไปหลัง รูปร่างเป็นสามเหลี่ยม ถูกบดบังอยู่ใต้ชายโครง ตับเป็นอวัยวะที่หนักที่สุดในร่างกาย คือ หนักประมาณ 1.2 กิโลกรัม ตับมีอันเดียว บางครั้งแพทย์ มักจะบอกให้เราเข้าใจง่ายๆว่า มีตับกลีบขวาขนาดใหญ่ และกลีบซ้ายขนาดเล็ก

           ตับ เปรียบได้กับโรงงานขนาดใหญ่ เป็นทั้งแหล่งผลิต เป็นโรงแบตเตอรี่ สะสมพลังงาน และโรงทำลายขยะ อาหารทุกชนิดผ่านการย่อยและดูดซึมมาจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) โปรตีน ไขมัน วิตามิน ล้วนมาถูกปรับเปลี่ยนดัดแปลงไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับร่างกาย และยังเป็นโกดังเก็บสะสมสารอาหารต่างๆ เอาไว้ใช้เวลาจำเป็น เช่น น้ำตาลกลูโคส ซึ่งร่างกายใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานทั่วทุกอวัยวะ ถ้ายังไม่ใช้ ตับก็ทำหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสไปเป็นสารที่เรียกว่า ไกลโคเจน เก็บสะสมในตับ เวลาต้องการใช้ ก็จะเปลี่ยนกลับเป็นกลูโคสส่งออกไปจากตับ ตับสร้างโปรตีนที่สำคัญหลายชนิด เช่น อัลบูมิน หรือโปรตีน ไข่ขาว มีหน้าที่มากมายในร่างกาย ถ้าโปรตีนนี้ลดลง ร่างกายจะบวม มีน้ำในท้อง ตับสร้างโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ถ้าตับไม่สร้างเลือดจะไม่แข็งตัว และไหลไม่หยุด

           เซลล์ตับ เมื่อรับของเสียมา ของเสียต่างๆ จะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโมเลกุล หรือสารที่เหมาะสม ไปรวมกับเกลือน้ำดีหลายชนิด และขับออกจากเซลล์ตับไปสู่ท่อขนาดเล็กๆ ไปรวมเป็นท่อขนาดใหญ่ ซึ่งท่อเหล่านี้เรียกว่า “ท่อน้ำดี” ท่อน้ำดีรวม จะมีส่วนที่เป็นท่อออกมานอกตับ ลงไปต่อกับลำไส้เล็กส่วนต้น คำว่า “ถุงน้ำดี” เป็นถุงที่อยู่บริเวณใต้ตับ เอาไว้เก็บน้ำดีบางส่วนที่ไหลออกมาจากตับ ถุงน้ำดีจะมีท่อขนาดเล็กยื่นออกไปต่อกับท่อน้ำดีบริเวณใต้ตับ เมื่อเราทานอาหารประเภทไขมัน ถุงน้ำดีจะบีบตัวขับให้น้ำดีที่สะสมอยู่ลงมาช่วยย่อยไขมันในลำไส้

           “น้ำดี” เป็นสีเขียวเหลือ ผลิตออกจากตับวันละเกือบ 1 ลิตร ลองนึกเทียบกับน้ำในขวดใส่น้ำขนาดใหญ่ 1 ลิตร น้ำดีนี้ ประกอบด้วยทั้งของเสียที่ร่างกยต้องการขับออก แต่ก็มีของดีปนอยู่มาก เหมาะกับคำเรียกว่าน้ำดี เพราะประกอบด้วยเกลือน้ำดี หลายชนิดปนกัน มีหน้าที่ช่วยในการย่อยและดูดซึมอาหารประเภทไขมัน และวิตามิน เอ ดี อี เค จากบริเวณลำไส้ น้ำดียังประกอบด้วยสารที่เป็นสีเหลือง หรือที่เรียกว่า บิลิรูบิน ซึ่งถ้าเกิดท่อน้ำดีตัน หรือ เซลล์ตับขับสารนี้ไม่ออก จะเกิดอาการตาเหลืองตัวเหลือง

ถ้าตับเสียไปจะเกิดอะไรขึ้น
           ตับมีขนาดใหญ่ และทำหน้าที่ทดแทนกันได้มาก ฉะนั้นถ้าถูกทำลายไปไม่มาก เจ้าของตับก็มักไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น แต่ถ้าตับเสียไปมาก เช่น กรณีตับอักเสบรุนแรงจนขั้นตับวาย ตับเสียไป 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเริ่มเกิดอาการต่างๆ ได้แก่ ตาเหลือง บวม มีน้ำในช่องท้อง ซึม สับสน เลือดออกตามร่างกาย อาเจียน เป็นเลือด และถ้ารุนแรงมากๆ ก็จะเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่วัน

           ท่อน้ำดี ถ้าเกิดการอุดตัน เช่น เป็นนิ่วในท่อน้ำดี เป็นมะเร็งท่อน้ำดี ท่อน้ำดีตีบ ของเสียก็จะคั่งในตับ และในเลือด ทำให้เกิดอาการตาเหลือง ตัวเหลือง อุจจาระซีด และคันตามร่างกาย


สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล



วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาร์ทิโชก และแดนดิไลออน พืชที่มีคุณประโยชน์ต่อตับ

20:13 0 Comments
          อาร์ทิโชก (Artichoke) และแดนดิไลออน (Dandelion) นับว่าเป็นพืชที่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าการรับประทานพืชทั้ง 2 ชนิด นี้มีผลดีต่อสุขภาพตับหลายประการไม่ว่าจะเป็นการช่วยตับในกระบวนการขจัดสารพิษออกจากร่างกายช่วยป้องกันตับถูกทำงานจาการพิษต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์ เป็นต้น และยังมีประโยชน์ในด้านการรักษาตับอักเสบ โดยช่วยต่อต้านการสร้างพังผืดที่ตับ (Antifibrotic activity) จากการเหนี่ยวนำด้วยสารพิษ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นความสารถในการสร้างเซลล์ตับใหม่ด้วย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี
          ตับ คือ อวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมีหน้าที่สำคัญในกาควบคุมสภาพร่างกายให้อยู่ดีมีสุข โดยทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ขจัดสารพิษออกจากเลือด สร้างภูมิคุ้มกันบางอย่างขึ้นมาต่อสู้โรคติดเชื้อ ตลอดจนกำจัดเชื้อโรต่าง ๆ ออกจากเลือด นอกจากนี้ตับยังทำหน้าที่สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว ตลอดจนสร้างน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ช่วยการดูดซึมไขมันและวิตามินละลายในน้ำมัน ตับแข็ง เป็นสภาวะตับที่เกิดแผลเป็นขึ้นหลังจากมีการอักเสบหรือภยันอันตรายต่อเนื้อตับ เมื่อเนื้อตับที่ดีถูกทำลายลงจากการอักเสบหรือสาเหตุอื่น ๆ เนื้อตับที่เหลือจะล้อมรอบและทดแทนด้วยเนื้อเยื่อประเภทผังพืด เป็นผลให้เลือดที่ไหลผ่านตับถูกอุดกั้น ไหลไม่สะดวก และการทำงานของตับลดลง เนื่องจากเนื้อตับดีที่เหลืออยู่ลดน้อยลง เคยมีผู้ประเมินไว้ว่าโรคตับแข็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโชก 25,000 คน ในทุกปีจัดได้ว่าเป็นสาเหตุการณ์ที่เกิดจากโรคเป็นอันดับที่ 8 นอกจากนี้โรคตับแข็งยังเป็นสาเหตุของการสูญเสียทางเศรษฐกิจเนื่องจากผู้ป่วยขาดงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายรักษาในโรงพยาบาล และยังก้อให้เกิดทุกขเวทนาในผู้ป่วยที่เป็น เช่น ภาวะท้องมานน้ำ เป็นต้น สาเหตุของโรคตับแข็งมีมากมายที่จะทำให้เกิดโรคตับแข็ง โดยสาเหตุนั้น ๆ จะต้องทำให้ตับมีการอักเสบเรื้อรังนานเป็นปี จนทำให้เนื้อตับตายลง เกิดแผลเป็น

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้ของกลูตาไธโอน และสารอาหารที่ช่วยดูแลผิวพรรณ

20:09 0 Comments

          กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารประกอบที่พบได้ทั่วไปในร่างกายของมนุษย์ ประกอบด้วยกรออะมิโน 3 ชนิดคือ กลูตาเมต (Glutamate) ซีสเทอีน (Cysteine) และไกลซีน (Glycine)

มีคุณสมบัติสรุปได้ดังนี้คือ

1. มีบทบาทยับยั้งการสร้างเม็ดสีดา ในกระบวนการสร้างเม็ดสี จึงช่วยลดความคล้ำของผิว
2. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
3. ถ้าร่างกายขาดกลูตาไธโอนจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Oxidative Stress กลูตาไธโอนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นด้วยการลดการสร้างเม็ดสีที่เป็นสีดำ ในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Metabolic Pathway of Melanin) ของผิวหนัง ในผิวหนังของเรา เซลล์ที่สร้างสีดำมีชื่อว่า เมลาโนไซต์ (Melanocyte) เมื่อผิวหนังโดนแสงแดดหรือความร้อนจะกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ให้สร้างเม็ดสีเมลานินชนิดสีดำ (Eumelanin) และเม็ดสีเมลานินชนิดสีชมพู (Phaeomelanin) แต่ที่เราเห็นจะพบว่า โดยมากสีผิวจะคล้ำขึ้นเมื่อโดนแดด เพราะมีการสร้างสีเมลานินสีดำ และแสดงออกมาเด่นกว่า แต่ถ้ามีกลูต้าไธโอนเข้าร่วมในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินแล้ว สารกลูต้าไธโอนจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินชนิดสีดำ ทำให้ร่างกายจะสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินชนิดสีชมพูแทน

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโคลีน

18:34 0 Comments

          สรุปคุณสมบัติของโคลีน
  1. เป็นสารอาหารที่จำเป็น และช่วยในการทำงานของระบบประสาท เช่น ความจำ และการทำงานของกล้ามเนื้อ 
  2. ช่วยในการขนส่งไขมันและโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ 
  3. ช่วยในการทำงานของตับให้เป็นปกติ การขาดโคลีนในสัตว์ทดลอง ทำให้มีไขมันสะสมในตับและนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับ
โคลีน

         โคลีนเป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่ง ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อความสมบูรณ์ของโครงสร้างของผนังเซลล์ (Structural integrity of cell membranes) เมตาบอลิซึมของเมธิล (Methyl metabolism) การส่งผ่านของกระแสประสาท (Cholinergic neurotransmission) การส่งสัญญาณผ่านผนังเซลล์ (Transmembrane signaling) และเมตาบอลิซึมกับการขนส่งของไขมันและโคเลสเตอรอล (อ้างอิงที่ 1)

         โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่ง Acetylcholine นี้เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆ อีกหลายอย่าง (อ้างอิงที่ 1) ดังนั้น โคลีนจึงมีผลต่อกระบวนการส่งกระแสประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและการรับรู้ เรียกได้ว่ามีบทบาทในพัฒนาการด้านการเรียนรู้โดยเฉพาะระบบความจำ (อ้างอิงที่ 2) รวมถึงมีการศึกษาในการใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s disease) ด้วย (อ้างอิงที่ 3)

           บทบาทสำคัญอีกประการหนึ่งของโคลีนคือ ทำให้ตับสามารถทำการขนถ่ายไขมันได้ (Fat transportation) และลดการสะสมไขมันในตับ (Hepatic steastosis) การทดลองในหนูพบว่า หากขาดโคลีนก็จะเกิดการสะสมไขมันที่ตับ (อ้างอิงที่ 4) การศึกษาวิจัยในคนก็พบว่า ผู้ที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด และมีการขาดโคลีนก็จะเพิ่มไขมันสะสมในตับเช่นกัน และยังมีระดับเอนไซม์ของตับสูงขึ้น ซึ่งเป็นอาการของภาวะตับอักเสบอีกด้วย และเมื่อได้รับโคลีนก็จะลดการสะสมไขมัน และลดการอักเสบของตับได้จริง (อ้างอิงที่ 5) สำหรับสัตว์ทดลอง เช่น หนู สภาวะที่ตับมีไขมันสะสมนี้ยังร่วมไปกับเพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งที่ตับได้ (อ้างอิงที่ 6) ในทางกลับกันเมื่อหนูทดลองเหล่านี้ได้รับโคลีนเสริม ก็ลดการเกิดมะเร็งในตับได้เช่นกัน (อ้างอิงที่ 7)

Choline

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโคลีน

             นอกจากประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว โคลีนยังมีประโยชน์ในด้านช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือด หัวใจด้วย (อ้างอิงที่ 1)

            ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สำหรับผู้ใหญ่เพศชายและหญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ ส่วนในเด็กช่วงอายุ 1-18 ปี จะเป็นดังนี้

  • อายุ 1-3 ปี (ชาย/หญิง) 200 mg
  • อายุ 4-8 ปี (ชาย/หญิง) 250 mg
  • อายุ 9-13 ปี (ชาย/หญิง) 375 mg
  • อายุ 14-18 ปี (ชาย) 550 mg
  • อายุ 14-18 ปี (หญิง) 550 mg (อ้างอิงที่ 1)
          และมีรายงานการวิจัยถึงผลกระทบของการขาดโคลีนในมนุษย์ว่าจะมีผลทำให้ปริมาณโคลีนลดลงและเกิดความเสียหายต่อตับได้ (อ้างอิงที่ 8,9)

เอกสารอ้างอิง
1. he National Academies Press, Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline, pages 390-422. http://darwin.nap.edu/skimit.cgi? Recid=6015&chap=390-422
2. Verbal and visual memory improve after choline supplementation in long-term total parenteral nutrition : a pilot study. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Jan- Feb;25(1):30-5
3. Cognitive improvement in mild to moderate Alzheimer’s dementia after treatment with the acetylcholine precursor choline alfoscerate: a multicenter, double-blind, randomized, placebo-controlled trial, Clin Ther. 2003 Jan;25(1):178-93
4. Choline-deficiency fatty liver: impaired release of hepaic triglycerides, J Lipid Res. 1968 Jul;9(4):437-46
5. Lecithin increases plasma free choline and decreases hepatic steatosis in long-term total parenteral nutrition patients, Gastroenterology, 1992 Apr;102(4 Pt 1):1363-70
6. Accumulation of 1,2-sn-diradlglycerol with increased membrane-associated protein kinase C may be the mechanism for spontaneous hepatocarcinogenesis in choline-deficient rats, J Biol Chem, 1993 Jan25;268(3):2100-5
7. Inhibition of hepatocarcinogenesis in mice by dietary methyl donors methionine and choline. Nutr Cancer, 1990;14(3-4):175-81
8. Choline, an essential nutrient for humans, FASEB J. 1991 Apr;5(7):2093-8
9. Choline deficiency caused reversible hepatic abnormalities in patients receiving parenteral nutrition: proof of a human choline requirement: a placebo-controlled trial. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Sep-Oct;25(5):260-8

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้เพื่อผิวพรรณด้วยคุณประโยชน์ของขมิ้น กลูตาไธโอน และวิตามินซี,อี

15:09 0 Comments

          ชื่อขมิ้นในประเทศไทยเรียกตามภาษาท้องถิ่นมีหลายชื่อคือ ขมิ้นแกง (เชียงใหม่) ขมิ้นชัน (กลาง, ใต้) ขมิ้นหยอก, ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้นและหมิ้น (ตรัง, ใต้) ตายอ (กะเหรี่ยง ก าแพงเพชร) สะยอ (กะเหรี่ยง, แม่ฮ่องสอน)

ประวัติความเป็นมา

            แหล่งกำเนิดที่แน่นอนของขมิ้นไม่เป็นที่รู้จัก แต่พบมากในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่มาจาก ภาคตะวันตกของอินเดีย ขมิ้นเป็นพืชล้มลุกอยู่กลุ่มพืชจำพวกขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อเหง้ามีสีเหลืองอมส้ม หรือสีแสดออกแดง มีกลิ่นหอมและไม่มีเมล็ดพันธุ์ การขยายพันธุ์ใช้การแตกหน่อ โดยจะทำการเลือกจากลูกผสมระหว่างขมิ้นป่า (Curcuma aromatica) พื้นเมืองอินเดียศรีลังกาและเทือกเขาหิมาลัยตะวันออกและบางสายพันธุ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด

            ขมิ้นมีการปลูกในอินเดียมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นที่รู้จักในประเทศจีนเมื่อประมาณ 700 ปี, แอฟริกาตะวันออก 800 ปี และแอฟริกาตะวันตก 1,200 ปี ปัจจุบันมีการปลูกขมิ้นกันอย่างแพร่หลายในแถบประเทศเขตร้อนชื้น

            ขมิ้นมีสรรพคุณทางยามาตั้งแต่อดีต ก่อนคริสศักราช 250 ปี จากบันทึกการใช้ยาในเอเชียใต้, อ้างใน Treatises ภาษาสันสกฤตในทางการแพทย์ และใช้กันอย่างแพร่หลายในยาอายุรเวท และ Unani อายุรเวท Susruta ของเคท ในประเทศอินเดีย มีการบันทึกถึงการนำครีมที่มีขมิ้นเพื่อรักษาอาการของคนถูกที่วางยาพิษ แก้การอักเสบของแผลที่ผิวหนัง และบำรุงผิวพรรรณสำหรับผู้หญิง สำหรับศาสนาฮินดู ในพิธีแต่งงาน เจ้าสาวจะถูขมิ้นตามร่างกายของพวกเขา และกับทารกแรกเกิด โดยลูบบริเวณหน้าผากของพวกเขา เพื่อให้ผิวพรรณดูผ่องใส และแวววาวดูมีราศี ปราศจากสิ่งชั่วร้าย เหมือนในประเพณีไทยที่ผู้ชายที่กำลังบวชเป็นพระ จะใช้ขมิ้นในการขัดผิวในขั้นตอนการบวชนาค และพบว่าคนชนชั้นสูงในประเทศอินเดีย นำชิ้นส่วนของเหง้าของขมิ้น แช่ลงไปในน้ำเพื่อใช้ในอาบน้ำ มีรายงานว่าขมิ้นจะช่วยปรับโทนสีผิว หรือช่วยให้ผิวเนียน สว่างใส ผู้หญิงในแถบเอเชียจึงรู้ถึงสรรพคุณของขมิ้นเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังนิยมนำไปประกอบอาหารเพื่อป้องกันโรคทางเดินอาหาร และเสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณ ทั้งยังป้องกันโรคมะเร็ง โดยจะพบว่าคนแถบตะวันออกโดยเฉพาะคนเอเชียจะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าคน แถบตะวันตก

คุณประโยชน์ของขมิ้น

         เหง้าขมิ้นชันประกอบด้วยสารสำคัญประเภทเคอร์คูมินอยด์เป็นสารสีเหลือง ประกอบด้วยเคอร์คูมิน, เดสเมทอกซี เคอร์คูมิน และบิสเดส เมทอกซีเคอร์คูมิน และน้ำมันหอมระเหย มีสีเหลืองอ่อน มีสารสำคัญคือ เทอร์เมอโรน และซิงจีเบอรีน นอกจากนี้ยังมีสารกลุ่มเซสควิเทอร์ปีน และโมโนเทอร์ปีน อื่นๆ ขมิ้นชันที่ดีต้องมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยจำพวกเคอร์คูมินอยด์คำนวณเป็นเคอร์ คูมินไม่น้อยกว่า 5% โดยน้ำหนัก และ 6% โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก ตามลำดับตามมาตรฐานของตำรับยาสมนุไพรของประเทศไทย หรือไม่น้อยกว่า 3% และ 4% ตามลำดับ ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก

ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

         การศึกษาในสัตว์ทดลองหรือในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดหรือสารส าคัญของขมิ้นชันมีฤทธิ์ทางยาที่ส าคัญพอสรุปได้ ดังนี้

1. ฤทธิ์ลดการอักเสบผัวหนัง
2. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและ antioxidant activity ของสารกลุ่มเคอร์คูมินนอยด์
3. ฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์และต้านการเกิดมะเร็งจากการได้รับสารก่อมะเร็งที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ
4. ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
5. ฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก

กลูตาไธโอน ( Glutathione)

          กลูตาไธโอน (Glutathione) จัดเป็นสารประเภท Tripeptide ซึ่งประกอบด้วย กรดอะมิโน 3 ชนิด คือ Glutamine, Cysteine และ Glycine ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่มีปริมาณน้อยอาจไม่เพียงพอในการนำไปสร้างสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อป้องกัน การเสื่อมต่างๆ ของเซลล์ในร่างกาย การรับประทานกลูตาไธโอนสามารถดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กได้ แต่ส่วนที่อยู่ในทางเดินอาหารส่วนอื่นจะถูกย่อย สลายได้เป็นกรดอะมิโนต่างๆ คือ กลูตามีน ซีสเทอีน และไกลซีน ซึ่งสามารถนำมาสร้างเป็นกลูตาไธโอนได้ใหม่ภายในเซลล์ กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส เนื่องจากมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการการสร้างเม็ดสีเมลานินของผิวหนัง ที่ถูกสร้างขึ้นในหนังกำพร้าชั้นล่างสุด โดยถ้าร่างกายมีกลูตาไธโอนก็จะสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตเมลานินและทำให้ผิวมีสีคล้ำ เพราะเมื่อเอนไซม์ Tyrosinase ถูกยับยั้งก็จะทำให้มีการสร้าง Pheonomelanin

บทบาทของกลูตาไธโอนต่อผิว

1. ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวขาวขึ้น จุดด่างดำลดลง
2. เป็นแอนติออกซิแดนท์ (สารต้านอนุมูลอิสระ) ช่วยลดรอยหิวย่นและทำให้ผิวเรียบเนียนใส นอกจากนี้ กลูตาไธโอน จะสามารถทำงานได้ดีเมื่อมีวิตามินซีและวิตามินอีร่วมด้วย

วิตามินซี

         วิตามินซีมีความสำคัญต่อกระดูกเยื่ออ่อนและผิวหนัง กล่าวคือ วิตามินซีจะช่วยร่างกายในการผลิตและรักษาระดับของสารคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เส้นเอ็นและผิวหนังที่กระจายอยู่ทั่วไปในโครงสร้างของร่างกาย

วิตามินซีกับความสวยความงาม

        วิตามินซีสามารถป้องกันอันตรายจากแสงยูวี หากเราทาวิตามินซีก่อนออกแดดจะสามารถลดปัญหาผิวไหม้ บรรเทาอาการอักเสบของผิวเมื่อถูกแสงแดด และพบว่าเมื่อทาร่วมกับวิตามินอีและครีมกันแดดที่มี Oxybenzone ก็จะสามารถป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้ดีขึ้น ทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชั่น (Antioxidant) ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากความชราของผิวหนังได้เป็นอย่างดี โดยมีการทดลองทาวิตามินซีที่ใบหน้าเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าทำให้เส้นริ้วรอยบางๆ จางหายไป ผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น วิตามินซียังมีความโดดเด่นในการผูกใจคนรักสวยรักงาม คือ ท าให้เม็ดสีเมลานินจางลง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ของผิวพรรณ ช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ในคนที่เป็นฝ้า กระ รอยดำ ส่งผลให้ผิวพรรณสดใสเรียบเนียนและมีสุขภาพดีขึ้น และยังช่วยสมานแผล

วิตามินอี

          วิตามินอีเป็นคำเรียกสารประกอบกลุ่มหนึ่งชื่อ โทโคฟีรอล (Tocopherol) ซึ่งมี 4 รูปแบบหลักๆ คือ แอลฟา (Alpha) เบตา (Beta) แกมมา (Gamma) และเดลตา (Delta) แต่แอลฟาโทโคฟีรอล (Alpha-tocopherol) เป็นชนิดที่พบมากที่สุด และออกฤทธิ์มากที่สุด วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายจึงเก็บสะสมไว้ได้นาน

บทบาทของวิตามินอีต่อผิว

-ปกป้องเยื่อบุเซลล์
-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเปลี่ยนอนุภาคออกซิเจนที่ไม่เสถียรให้เป็นกลาง จึงไม่ท าลายเซลล์ของร่างกาย
-เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด

เอกสารอ้างอิง

1. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาตรฐานสมุนไพรเล่มที่ 3 ชุดเห็ดเทศ Senna alata (L.)Roxb. โรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, กรุงเทพฯ. 2545
2. กองวิจัยและพัฒนาสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์กาแพทย์คู่มือสมุนไพรเพื่อการสาธารณสุขมูลฐาน Text and journal Corporation กรุงเทพฯ 2531:42.
3. J Ethnopharmacol 1990;29 : 337-340.
4. J Ethnopharmacol 1995;45 : 151-156.
5. J Ethnopharmacol 2003;84(1) : 1-4.
6. Arjinpathana N, Asawanonda P. Glutathione as an oral whitening agent : A randomized, double-blind, placebo-controlled study, Journal of Dermatological Treatment 2010: 1:6.
7. มัณฑนา ภานุมาภรณ์. Herbal Whitening Agents. ใน : มัณฑนา ภานุมาภรณ์, บรรณาธิการ. Cosmetics for Aestheic and Hwalth กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์กรุงเทพฯ เวชสาร ; 2552 : 107-130.
8. Witschai A, Reddy S, Stofer B, et al. The systemic availability of oral glutathione : Effect on plasma concentration. American Journal of Physiology 1992;43:667-669.
9. Hagen TM, Wierzbicks GT, Sillau AH, et al. Bilavailability of dietary glutathione: Effect on plasma concentration. American Journal of Physilogy-Gastrointestinal and liver Physiology 1990;259(4 22-4).
10. Vikram Sinai Talaulikar, Isaac T. manyonda. Vitamin C as an antioxidant supplement in women’s health: a myth in need of urgent burial, European Journal of Obstetrics & Gynecology and Reproductive Biology, Volume 157, Issue 1, July 2011, Pages 10=13
11. Jens J. Thiele, Swarna Ekanayake-Mudiyanselage. Vitamin E in human skin:Organ-specific physiology and considerations for its use in dermatology and considerations for its use in dermatology, Molecular Aspects of Medicine, Volume 28, Issues-56, October-December 2007, Pages 646-667
12. Jay S. Trivedi, Steven L. Krill, James J. Fort. Vitamin E as a human skim penetration enhancer European Journal of Pharmaceutical Sciencer, Volume 3, Issue 4, August 1995, Pages 241-243

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


สาระน่ารู้เกี่ยวกับถั่งเช่า

13:24 0 Comments
         ถั่งเช่า (Chong Cao) หรือที่รู้จักกันว่า ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย ถือว่าเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงของชาวเอเชีย ด้วยคุณสมบัติที่ให้ผลเรื่องการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศอันมีชื่อเสียงโด่งดัง อาจเรียกในชื่ออื่นได้อีกว่า ตังถั่งเช่า หรือ ตังถั่งแห่เช่า

ชื่อสมุนไพร : ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งแห่เช่า

ชื่อสามัญ (ชื่อภาษาอังกฤษ) : Chong cao, Dong chong xia cao
ชื่ออื่น : ถั่งเช่า, หนอนเทวดา, ตังถั่งแห่เช่า, เห็ดถั่งเช่า, หญ้าหนอน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cordyceps sinensis (Berk.) Sacc.(อ้างอิงที่ 3)

         “ถั่งเช่า” หรือ “เห็ดถั่งเช่า”ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวหนอนของผีเสื้อค้างคาวที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hepialus armoricanus Oberthiir และส่วนที่เป็นเห็ดซึ่งอยู่บนตัวหนอนที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Sacc. โดยสปอร์ของเห็ดเจริญเป็นเส้นใยบนตัวอ่อนของหนอนผีเสื้อค้างคาวที่กำลังจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว อาศัยสารอาหารและแร่ธาตุจากตัวหนอน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ เห็ดจะเจริญงอกออกมาจากส่วนหัวของตัวหนอนที่ตายซาก มีลักษณะคล้ายกับต้นหญ้าที่งอกขึ้นมาหนึ่งต้น จากลักษณะดังกล่าวทำให้ชาวจีนเรียกถั่งเช่าว่า Chong Cao (worm-grass) ซึ่งหมายถึงหญ้าหนอน โดยเป็นคำเรียกสั้นๆของคำว่า dong chong xia cao ในขณะที่ชาวธิเบตเรียกว่า yartsa gunbu (summer-grass, winter-worm) ซึ่งหมายถึง ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า (อ้างอิงที่ 1-3)

          ถั่งเช่า พบได้ในแถบทุ่งหญ้าบนภูเขา ประเทศจีน (ทิเบต) เนปาล และภูฏาน ที่ระดับความสูง 10,000-12,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล การเก็บถั่งเช่าจะเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดตัวหนอนขึ้นจากดินแล้ว ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตากแห้ง การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง

         ถั่งเช่ามีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศจีนมานานนับศตวรรษ ตำราแพทย์แผนจีนกล่าวว่า ถั่งเช่ามีสรรพคุณทางยาหลายประการ เช่น ส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้อสุจิแข็งแรง บำรุงให้สตรีมีบุตรง่าย ปรับประจำเดือนให้สมดุล บำรุงร่างกาย บำรุงอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ และไต เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ชาวจีนจึงนิยมนำถั่งเช่ามาปรุงอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ เช่น นำไปตุ๋นรวมกับเป็ด และไก่ ในทางเภสัชวิทยา ถั่งเช่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ เช่น เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดระดับน้ำตาลในเลือด สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญและนิยมใช้เป็นตัวบอกคุณภาพและกำหนดราคา คือ สารคอร์ไดเซพิน (Cordycepin) ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศชาย บำรุงไต (อ้างอิงที่ 1-4)

        ในด้านส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศชาย มีงานวิจัยเชิงทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม (double blind, placebo-controlled clinical trial) กับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องความรู้สึกทางเพศลดลง (hyposexuality)พบว่าในกลุ่มที่ใช้ถั่งเช่า 3 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 40 วัน จำนวน 159 คน ให้ผลดีในเรื่องนี้ 64.1% และยังมีอีก 2 การทดลองทางคลีนิคกับผู้ป่วยที่มีปัญหาความรู้สึกทางเพศลดลงก็ให้ผลไปในทางเดียวกันโดยพบว่า การทดลองแรกในกลุ่มที่ใช้ถั่งเช่าจำนวน 189 คน ให้ผลดีในเรื่องนี้ 66.1% ส่วนอีกการทดลองพบว่า กลุ่มที่ใช้ถั่งเช่า 144 คน ให้ผลดีขึ้น 65.3 %(อ้างอิงที่ 4)

       ในการศึกษาการใช้ถั่งเช่ากับกลุ่มผู้ชายที่มีปัญหาอวัยวะเพศไม่แข็งตัว จำนวน 22 คน (male patients with impotence)พบว่ามากกว่าหนึ่งในสามสามารถที่จะกลับมามีเพศสัมพันธ์ได้ อีกการทดลองหนึ่งทดลองกับกลุ่มผู้ชายที่มีปัญหาเดียวกัน จำนวน 28 คน พบว่าให้ผลดีขึ้น 64.3%

        มีการศึกษาผลของถั่งเช่า ที่มีต่อสเปริม์ด้วย โดยมีรายงานว่าสามารถเพิ่มจำนวนสเปิร์มในอสุจิได้ 33% ช่วยลดปริมาณสเปิร์มที่ผิดปกติลงได้ 29% และมีอัตราการรอดของสเปิร์มสูงขึ้น 79%(อ้างอิงที่ 4)

         นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสนับสนุนว่าการใช้ถั่งเช่าที่ 3 กรัมต่อวัน ช่วยให้ผู้หญิงที่มีปัญหาหมดความรู้สึกทางเพศ (libido)กลับมามีความรู้สึกทางเพศได้ 86% (อ้างอิงที่ 5)

       ในด้านสรรพคุณบำรุงร่างกาย มีรายงานศึกษาวิจัยเชิงทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม (double blind, placebo-controlled clinical trial) ว่า ช่วยเพิ่มพลัง ลดอาการเหนื่อยล้า โดยมีการศึกษาทางคลีนิคในการใช้ถั่งเช่า 3 กรัม ต่อวัน กับผู้สูงอายุและมีอาการต่างๆที่เกิดจากความชรา พบว่า ลดอาการเหนื่อยล้าได้ถึง 92% สามารถทนต่อความหนาวได้ดีขึ้น 89% ลดอาการหน้ามืดตาลายได้ 83% ลดอาการหูอื้อได้ 79% ลดความถี่ของการปวดปัสสาวะตอนกลางคืนได้ 59%(อ้างอิงที่ 4)

เอกสารอ้างอิง

1. The Economics and Sustainability of Cordyceps Harvest in Tibet, American Botanical Council, HC 020492-380

2. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน “ถั่งเช่า”ช่วยเพิ่มสมรรถภาพ จริงหรือ?, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/153/ถั่งเช่า-ช่วยเพิ่มสมรรถภาพ-ได้จริงหรือ/

3. ถั่งเช่า:อิทธิฤทธิ์หญ้า (หนอน) เทวดา, ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะอุตสาหกรรมเกษตร ม.เกษตรศาสตร์, สรรสาระเทคโนโลยีชีวภาพ/เดือนตุลาคม 2554

4. The scientific rediscovery of an ancient Chinese herbal medicine: Cordyceps sinensis: part I, J Altern Complement Med.1998 Fall;4(3):289-303

5. Adaptogenic Medicinal Fungus Appears Promising, American Botanical Council, HC 061192

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ วิตามินบี 7 ชนิด วิตามินซี และโคลีน

22:12 0 Comments
          วิตามินเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย  แม้ว่าร่างกายต้องการวิตามินไม่มากนัก แต่ก็ขาดไม่ได้ เนื่องจากจะทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น หากขาดวิตามินซี จะทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน หากขาดวิตามินบี 1 จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา หากขาดวิตามินเอ จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นในที่มืดได้ เป็นต้น
           นักวิชาการได้แบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิด ตามคุณสมบัติของวิตามิน ดังนี้
- ชนิดแรกคือวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี
- วิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ วิตามินที่ละลายในน้ำมัน  วิตามินชนิดนี้ ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค (อ้างอิงที่ 1)
           วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายชนิด ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต และไนอะซิน วิตามินกลุ่มนี้ แม้ว่าจะบริโภคเกินความต้องการในแต่ละวัน ก็จะไม่มีอันตราย เนื่องจากวิตามินกลุ่มนี้มีคุณสมบัติละลายในน้ำ เมื่อได้รับมากเกินไปร่างกายก็จะขับออกเองได้  จึงไม่สะสมให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำบัญชีแสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำที่แนะนำให้ควรบริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai Recommended Daily Intakes หรือThai RDI) รวมถึงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของวิตามินที่ละลายในน้ำแต่ละชนิด ตามรายละเอียดในตารางที่ 1

ตารางที่ 1:แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำ ที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป และข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหารของวิตามินที่ละลายในน้ำ (อ้างอิงที่ 2-3)
วิตามิน
ที่ละลายในน้ำ
ปริมาณที่แนะนำ
ให้บริโภคต่อ 1วัน
ข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับ
หน้าที่ของสารอาหาร
วิตามินบี 1
(Thiamin)
1.5มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
- มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
วิตามินบี 2
(Riboflavin)
1.7 มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และ   ไขมัน
ไนอะซิน (Niacin)
หรือวิตามินบี 3
20มิลลิกรัม เอ็น อี
(mg NE)
- ช่วยให้เยื่อบุทางเดินอาหารและผิวหนังอยู่ในสภาพปกติ
- ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
กรดแพนโทธินิค (Pantothenic Acid)
หรือวิตามินบี 5
6 มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยในการใช้ประโยชน์(เมตาบอลิซึม) ของไขมัน และคาร์โบไฮเดรต
- ช่วยในการใช้ประโยชน์ของไขมันและคาร์โบไฮเดรต
- ช่วยในการเมตาบอลิซึมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต
วิตามินบี6
(Vitamin B6)
2 มิลลิกรัม (mg)
- มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์
- มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท
โฟเลต(Folate)
หรือวิตามินบี 9
200 ไมโครกรัม (μg)
- มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง
วิตามินบี12
(Vitamin B12)
2 ไมโครกรัม (μg)
- มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
- มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
วิตามินซี
(Vitamin C)
60 มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
- มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
- มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน

             โคลีน (Choline)เป็นสารอาหารอีกตัวที่ละลายในน้ำ และมักจะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับวิตามินบีรวม โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine)ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆ อีกหลายประการ โดยมีปริมาณที่แนะนำว่าเพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชายและหญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ (อ้างอิงที่ 4)
              โดยวิตามินที่กล่าวมาข้างต้นเหล่านี้ สามารถพบได้ในอาหารต่างๆ อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะรีบเร่งในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ดังนั้น โอกาสที่จะได้รับประทานอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่ จึงเป็นไปได้ยาก เช่น นักเรียนนักศึกษาที่ช่วงเช้ารีบเร่งจนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า กลางวันก็มักจะรับประทานอาหารจานเดียว เป็นต้น ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันให้ไม่ขาดสารอาหารเหล่านี้คือ รับประทานอาหารที่มีการเติมสารอาหารเหล่านี้ลงไป ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและอยู่ในรูปแบบที่รับประทานได้สะดวก อีกทั้งมีรสชาติอร่อย ชวนรับประทาน เช่น รูปแบบเม็ดเคี้ยว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่จัดเป็นยา เนื่องจากจะมีปริมาณของวิตามินสูงมาก ซึ่งทั่วไปนั้น มักจะใช้รักษาผู้ป่วยที่แสดงอาการของการขาดวิตามินแล้วเท่านั้น

เอกสารอ้างอิง
1. วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ 1). ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
2.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข(ฉบับที่ 182) พ.ศ.2541 เรื่อง ฉลากโภชนาการ. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
3.ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
4.Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline. The National Academies Press. pages 390-422

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


สาระน่ารู้เกี่ยวกับเลซิติน มิกซ์แคโรทีนอยด์และวิตามิน อี

21:38 0 Comments

         ตับ เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญหลายประการ เมื่อใดก็ตามที่ตับทำงานไม่เป็นปกติ เช่น ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง จะเกิดอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ภูมิต้านทานต่ำ ขาดโปรตีน บวม เลือดออกง่าย แผลหายช้า น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ ไขมันในเลือดสูง ท้องมาน อาการทางสมอง ไตวาย หัวใจวาย และส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกายในทุกระบบ
        ปัจจุบัน มีผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับปัญหาโรคเกี่ยวกับตับเป็นจำนวนมาก โดยมีงานวิจัยรายงานว่า 30% ของคนทั่วไป มีภาวะไขมันพอกตับ(ศึกษาโดยการตรวจเนื้อเยื่อ) โดยกว่า 70% ของคนอ้วน จะมีภาวะไขมันพอกตับ และมีความเสี่ยงต่อภาวะตับอักเสบและตับแข็ง และ95% ของคนอ้วนที่ดื่มสุรา จะมีภาวะไขมันพอกตับ และมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นตับอักเสบและตับแข็งได้
        นอกจากนี้ ยังพบว่า โรคเรื้อรังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โคเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง จะมีส่วนเชื่อมโยงให้เกิดโรคเกี่ยวกับตับโดยเฉพาะไขมันพอกตับได้ มีรายงานว่า 80% ของผู้ป่วยเบาหวาน มีภาวะไขมันพอกตับ และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคตับแข็งสูงกว่าการเสียชีวิตจากโรคหัวใจด้วยสัดส่วน 2.7 : 1.8 เลยทีเดียว

สารฟอสฟาทิดิลโคลีน ในเลซิติน มีบทบาทในการบำรุงตับ ดังนี้
·       ช่วยในการกำจัดไขมันออกจากเซลล์ตับ  
·       ยับยั้งการสะสมไขมันในเซลล์ตับ
เลซิตินที่มีฟอสฟาทิดิลโคลีนสูง จะช่วยแก้ปัญหาไขมันพอกตับได้เป็นอย่างดี

ทำความรู้จักกับเลซิติน
           เลซิติน (Lecithin)เป็นไขมันในกลุ่มฟอสโฟไลปิด (Phospholipid)ซึ่งอุดมด้วยสารฟอสฟาทิดิล โคลีน (Phosphatidyl Choline)ที่มีคุณสมบัติเข้ากันได้กับทั้งน้ำและน้ำมัน ถือเป็นตัวทำละลายที่ดี ช่วยในการทำละลายโคเลสเตอรอลในเลือดให้แตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กๆ จึงลดการสะสมของไขมันที่ตับและลดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด

แหล่งของเลซิตินที่พบได้ตามธรรมชาติมีอยู่ 2 แหล่งที่สำคัญ คือ
          1. ร่างกายของมนุษย์สามารถผลิตเลซิตินได้เองที่ “ตับ” แต่หากร่างกายขาดสารตั้งต้นสำหรับใช้ผลิตเลซิติน เช่น กรดไขมันจำเป็น วิตามินบี และสารอาหารสำคัญอื่นๆ ก็จะส่งผลให้ร่างกายสร้างเลซิตินได้ไม่เพียงพอ
          2. แหล่งธรรมชาติพบได้ทั้งในพืชและสัตว์ โดยจะพบมากในไข่แดง ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง จมูกข้าว เป็นต้น แต่การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมากมักจะให้โคเลสเตอรอลสูงตามมาด้วย
ปัจจุบันจึงมีการสกัดเลซิตินเข้มข้นจากไข่แดงและถั่วเหลือง ซึ่งเลซิตินที่สกัดจากถั่วเหลืองจะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันสุขภาพได้ดีกว่าแหล่งอื่นๆ เพราะมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวมากที่สุดและปราศจากโคเลสเตอรอลนั่นเอง
คุณสมบัติของเลซิติน
·       ดูแลตับปกป้องตับจากการเกิดภาวะไขมันพอกตับ บำรุงตับ ป้องกันตับอักเสบ ป้องกันตับแข็งลดภาวะไขมันพอกตับมีการศึกษากับผู้ป่วยที่ต้องได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำโดยตรงเป็นเวลานาน  (Longterm parenteral nutrition) จำนวน 15 คน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มักพบปัญหาระดับโคลีนในเลือดต่ำ และพบว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วยมีภาวะตับอักเสบ จึงทดลองให้เลซิตินในผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มที่ได้รับเลซิตินมีระดับโคลีนในเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และมีการสะสมของไขมันที่ตับลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับก่อนการทดลอง ดังตารางนี้


กลุ่มที่ได้รับเลซิติน
กลุ่มที่ไม่ได้รับเลซิติน
ระดับโคลีนในเลือด
เพิ่มขึ้นมากกว่า 50%
ลดลงประมาณ 25%
การสะสมไขมันที่ตับ
ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่เปลี่ยนแปลง

เนื่องจากเลซิตินจะลดการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันภายในตับ ทำให้ไขมันไม่เกิดการรวมตัว จึงไม่ไปพอกที่เซลล์ตับ อีกทั้งเร่งการเผาผลาญไขมันที่ตับ จึงทำให้ไม่เกิดการสะสม และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลที่เป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดภาวะไขมันพอกตับนั่นเอง                         ป้องกันโรคตับจากแอลกอฮอล์มีการศึกษาในลิงบาบูนพบว่า เลซิตินสามารถป้องกันการเกิดโรคตับแข็ง
       เนื่องจากการรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยเลซิตินจะไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์คอลลาจีเนสในตับ จึงลดการสร้างพังผืดในตับ ลดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการพัฒนาไปสู่โรคตับแข็ง ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันบริเวณตับจึงไม่เกิดอนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์และป้องกันภาวะจากการอักเสบของตับ

กราฟด้านซ้าย แสดงการเกิดภาวะโรคตับของลิงบาบูน ที่ได้รับเหล้าร่วมกับอาหารปกติ
กราฟด้านขวา แสดงการเกิดภาวะโรคตับของลิงบาบูน ที่ได้รับเหล้าร่วมกับฟอสฟาทิดิลโคลีน

        จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า ลิงบาบูนที่ได้รับเหล้าจะพัฒนาไปเป็นตับแข็งเกือบทุกตัวภายใน 6 ปี แต่หากได้รับเหล้า ร่วมกับฟอสฟาทิดิลโคลีน จะไม่เป็นตับแข็งแม้แต่ตัวเดียว
        ป้องกันตับจากสารพิษต่างๆ
               - ป้องกันตับจากพิษของยาบางประเภท ได้แก่ แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ยาแก้อักเสบเตตร้าไซคลิน
               - ป้องกันตับจากสารเคมีหรือพิษของยากำจัดศัตรูพืชต่างๆ
               - ป้องกันตับจากพิษของเห็ดบางชนิด  
              - ป้องกันตับจากรังสี
·       บำรุงสมองช่วยพัฒนาการเรียนรู้ เสริมสร้างความจำ และลดอาการอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น
ปัจจุบันการรักษาทางการแพทย์ได้ใช้เลซิตินในการบำบัดโรคทางสมองต่าง ๆ เช่น โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s Disease) โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) ซึ่งเป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์ประสาทขาดสารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) หรือคนชราที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม โดยพบว่าผู้สูงอายุที่มีภาวะความจำเสื่อมบางรายจะมีอาการดีขึ้นเมื่อได้รับประทานเลซิตินวันละ 25 กรัมติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระยะเริ่มแรกพบว่า เมื่อได้รับโคลีนเป็นระยะเวลา 6 เดือน จะช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ หรือการให้โคลีนร่วมกับยาที่ใช้รักษา (Cholinesterase Inhibitors) ทำให้มีการพัฒนาความสามารถที่ต้องใช้ความจำเพิ่มขึ้นได้
·       ลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล ดูแลหลอดเลือดและหัวใจละลายไขมัน ป้องกันการตกตะกอนของไขมันในผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบตัน ป้องกันการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต
         โดยมีการศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองและผู้มีภาวะระดับโคเลสเตอรอลสูงพบว่า เลซิตินจะลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล สามารถลดระดับไขมันชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ได้อีกทั้งช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL)ได้อีกด้วย จากคุณสมบัติดังกล่าว จึงทำให้ลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด อันนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือหัวใจวายเฉียบพลัน

กราฟแสดงระดับโคเลสเตอรอลของผู้ป่วยที่มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูง เปรียบเทียบระหว่าง ก่อนรับประทานเลซิตินรับประทาน 1 เดือน และรับประทาน 2 เดือน 
จากข้อมูลดังกล่าว สรุปได้ว่า เลซิตินสามารถลดระดับไขมันชนิดเลว (LDL) ได้ถึง 56.11% ภายใน 2 เดือน

·       ลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี เลซิตินจะเพิ่มความสามารถในการทำละลายของน้ำดี ทำให้สารแขวนลอยในน้ำดีไม่จับตัวเป็นก้อนจนกลายเป็นนิ่ว เพิ่มการหลั่งและการไหลเวียนของน้ำดี และลดค่าดัชนีไขมันอิ่มตัว (Cholesterol saturation index)
·       ช่วยลดน้ำหนักลดไขมันสะสม โดยช่วยละลายไขมัน จึงเผาผลาญไขมันได้ดี
อย่างไรก็ตาม การได้รับเลซิตินเพียงอย่างเดียว อาจแก้ปัญหาทางสุขภาพได้ไม่เพียงพอ เนื่องจากถึงแม้ว่า เลซิตินจะช่วยลดการสะสมไขมันที่ตับและผนังหลอดเลือดได้ แต่ยังคงหลงเหลือไขมันบางส่วนที่ยังสะสมอยู่ในเซลล์ดังกล่าว และยังมีไขมันบางส่วนในกระแสเลือดที่มีโอกาสเกิดการสะสมพอกพูนได้เพิ่มเติม ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงเพิ่มเติม เพื่อปกป้องไขมันเหล่านี้ไม่ให้เกิดการออกซิเดชั่น และลดการอักเสบของเซลล์ จึงลดโอกาสการเกิดไขมันพอกตับและผนังหลอดเลือดได้อีกทางนั่นเอง

เสริมประสิทธิภาพการทำงานของเลซิตินได้อย่างเต็มที่ ด้วยแคโรทีนอยด์จากธรรมชาติ 4 ชนิด และวิตามิน อี
             กล่าวกันว่า เลซิตินเพียงอย่างเดียว แก้ปัญหาสุขภาพสมอง หัวใจ หลอดเลือด มะเร็ง และผิวพรรณ ได้เพียง 30% แต่หากได้รับเลซิตินชนิดฟอสฟาทิดิลโคลีนสูง เสริมด้วยแคโรทีนอยด์จากธรรมชาติ 4 ชนิดและวิตามิน อี จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ถึง 100%

             แคโรทีนอยด์จากธรรมชาติ 4 ชนิด (อัลฟาแคโรทีน เบต้าแคโรทีน  แกมม่าแคโรทีน และไลโคปีน) สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอความแก่และความเสื่อมของเซลส์ ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
·       ดูแลปกป้องตับ โดยยับยั้งการเข้าจู่โจมของอนุมูลอิสระต่อเซลล์ตับจึงลดการสะสมของไขมันในตับ ป้องกันตับอักเสบ ป้องกันการเกิดมะเร็งตับจากพิษAflatoxin B1 (พิษจากเชื้อรา) และปกป้องตับจากเหล้า รวมทั้งภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในคนไข้เบาหวาน
·       ลดการทำลายผนังหลอดเลือดจากอนุมูลอิสระ ป้องกันหลอดเลือดอักเสบและลดการออกซิเดชั่นของไขมันในหลอดเลือด จึงลดการเกิดไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือด ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ลดโอกาสการเกิดหลอดเลือดตีบตันของทุกอวัยวะ
·       ปกป้องสารพันธุกรรมจากการจู่โจมของอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งทุกชนิด
·       ปกป้องเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวพรรณสดใส อ่อนวัย

               วิตามินอี
              วิตามินอี มีชื่อเรียกว่าTocopherol ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย แต่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร
·       ช่วยต้านไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว  ขยายหลอดเลือดฝอย
·       ป้องกันการเกาะตัวของเกร็ดเลือดที่ผนังหลอดเลือด
·       ลดโคเลสเตอรอล
·       มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
ซึ่งการใช้แคโรทีนอยด์และวิตามินอีร่วมกัน จะส่งเสริมประสิทธิภาพการต้านออกซิเดชั่นได้ดียิ่งขึ้น โดยมีงานวิจัยรายงานว่า การเสริมแคโรทีนอยด์รวม ร่ามกับวิตามิน อี จะเสริมฤทธิ์กันในการปกป้องเซลล์ตับจากอนุมูลอิสระ และสามารถลดการเกิดมะเร็งตับในคนไข้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ถึง50%

เลซิติน ชนิดฟอสฟาทิดิลโคลีนสูงเสริมด้วยแคโรทีนอยด์รวมจากธรรมชาติ 4 ชนิด และวิตามิน อี จึงเหมาะกับบุคคลดังต่อไปนี้
·       ผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับการทำงานของตับไม่ปกติ เช่น การย่อยอาหารไม่ดี แน่นท้อง จุกเสียดเป็นประจำ อ่อนเพลียง่าย
·       ผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบ บี และซี
·       ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ
·       ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีประวัติคนในครอบครัวที่มีความเสี่ยงต่อการเป็น
- โรคเกี่ยวกับตับ ไขมันพอกตับ
- เบาหวาน
- อ้วน
- โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต
- มะเร็ง
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง โคเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง
·       ผู้ที่ต้องการการบำรุงตับ
·       ผู้ที่ต้องการการบำรุงสมอง ป้องกันอัลไซเมอร์
·       ผู้ที่ต้องการการบำรุงและปกป้องระบบหลอดเลือดและหัวใจ
·       ผู้ที่ต้องการการบำรุงผิวพรรณ
·       ผู้สูงอายุ(50 ปีขึ้นไป)

    เอกสารอ้างอิง
· Carcinogenesis,1998  Mar; 19(3): 403-411
· Cholesterol. Vol. 2010, Article ID 824813, 4 pages
· Current Therapeutic Research, 2004 May-June; 65(3): 266-277
· E Encyclopedia of Natural Medicine. Revised 2nd ed. 1998, USA: Prima Publishing. pp 299, 283, 481.
· Gastroenterology 1992; 102(4Pt1) :1363-1370, PMID : 1551541
· Gastroenterology 1994; 106:152-159
· Gastroenterology and Hepatology, 2007; 22: 794-800
· Hepatology, 2003; 37(5): 1202-1219
· International Symposium on Human Health: Favhealth 2007
· National Cancer Center Kyoto Perfetural University of Medicine, Kyoto, Japan
· The Am. J. of Clinical Nutrition 43: January 1986: 101
· The natural pharmacy. 1998, USA: Prima Publishing. pp 176-177.
· Toxical and Health, 2009 May-June; 25(4-5): 311-320
· Sources of choline and lecithin in the Diet Choline and Lecithin in Brain Disorders Raven Press, New York 1979

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเซซามิน

21:17 0 Comments
        เซซามิน เป็นสารสกัดจากงาดำ โดยปกติในงาดำจะมีสารกลุ่มลิกแนนหลายชนิด ได้แก่ เซซามิน (Sesamin) เซซาโมลิน (Sesamolin) และเซซามินอล กลูโคไซด์ (Sesaminol glucosides)

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเซซามิน

     เซซามิน เป็นสารสกัดจากงาดำ โดยปกติในงาดำจะมีสารกลุ่มลิกแนนหลายชนิด ได้แก่ เซซามิน (Sesamin) เซซาโมลิน (Sesamolin) และเซซามินอล กลูโคไซด์ (Sesaminol glucosides) (อ้างอิงที่ 1) ทั้งหมดนี้มีคุณสมบัติหลายประการ เช่น
  • ·       ช่วยยับยั้งทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด (อ้างอิงที่ 2-4)
  • ·       ช่วยเพิ่มมวลกระดูก (อ้างอิงที่ 5)
  • ·       ช่วยปกป้อง และบำรุงตับ (อ้างอิงที่ 6-9)
  • ·       ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และลดการเกิดตะกอนในผนังเส้นเลือด (อ้างอิงที่ 10-12)
  • ·       ช่วยลดความดันโลหิต (อ้างอิงที่ 13)


        เซซามินช่วยยับยั้งทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด
มีงานวิจัยที่แสดงว่าสารเซซามินในงาดำสามารถทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม (Breast cancer mcf-7) (อ้างอิงที่ 2) และสามารถทำลายเซลล์มะเร็งตับ (Human hepatocellular carcinoma cell line HepG2) ของมนุษย์ได้ (อ้างอิงที่ 3) อีกงานวิจัยพบว่า สารเซซามินในงาสามารถทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Human Lymphoid Leukemia Molt 4B cells) ของมนุษย์ได้อีกด้วย (อ้างอิงที่ 4)

        เซซามินในงาดำ สามารถเพิ่มการสร้างมวลกระดูกของมนุษย์ได้
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พบว่า สารเซซามินในงาสามารถเพิ่มการสร้างมวลกระดูกของมนุษย์ได้ โดยมีผลที่เซลล์สร้างกระดูกOsteoblast โดยตรง จึงน่าจะนำมาพัฒนาใช้ในโรคกระดูกบาง (อ้างอิงที่ 5)

       เซซามินช่วยปกป้องสุขภาพตับ
       มีงานวิจัยพบว่า เซซามินในงาดำลดการทำลายของตับจากสารพิษคาร์บอนเตตราคลอไรด์ และโลหะหนักในหนูทดลองได้  (อ้างอิงที่ 6, 7)นอกจากนี้เซซามินยังมีฤทธิต้านอนุมูลอิสระ จึงมีผลช่วยในการเมตาโบลิซึมของไขมันและแอลกอฮอล์ในตับ (อ้างอิงที่ 8)  อีกทั้งช่วยป้องกันภาวะไขมันสะสมในตับที่เกิดจากการเหนี่ยวนำโดยแอลกอฮอล์ได้ในหนูทดลอง (อ้างอิงที่ 9)

       เซซามินช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด และลดการเกิดตะกอนในผนังเส้นเลือด
       สำหรับในหนูทดลอง เซซามินจากงาดำสามารถลดโคเลสเตอรอลในเลือด และลดการเกิดตะกอนในผนังเส้นเลือดได้ (Anti-atherosclerotic effect) (อ้างอิงที่ 10, 11) โดยมีงานวิจัยรองรับว่า การรับประทานงาดำจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ด้วยกลไกการลดการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก รวมถึงการลดการสร้างโคเลสเตอรอลที่ตับ(อ้างอิงที่ 12)

       เซซามินช่วยลดความดันโลหิต
       มีงานวิจัยที่ทำในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โดยให้รับประทานสารสกัดเซซามินจากงาดำ 60 มก. ต่อวัน เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า สามารถลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยประมาณ 2-3 มม.ปรอท จากระบาดวิทยาคลินิค แม้จะลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อการช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางสมองและหัวใจ (อ้างอิงที่ 13)
       ปัจจุบันมีการนำสารสกัดจากงาดำและผงงาดำ มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค โดยอาจมีการเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์เข้าไปด้วย เช่น ข้าวกล้องหอมนิลงอก ซึ่งจะมีสาร GABA (Gamma Amino Butyric Acid)  ที่เป็นสารสื่อประสาท ช่วยลดความตึงเครียด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับได้ดี ช่วยรักษาสมดุล ชะลอความเครียดของสมอง ทั้งยังกระตุ้นการผลิต Growth Hormone ที่ช่วยสร้างเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ป้องกันการเกิดริ้วรอยได้ (อ้างอิงที่ 14) หากได้รับร่วมกับวิตามินซีและซีลีเนียม ที่มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ (อ้างอิงที่ 15) ก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง
1. Sesame seed lignans: potent physiological modulators and possible ingredients in functional foods & nutraceuticals
2. Effect of sesamin on apoptosis and cell cycle arrest in human breast cancer mcf-7 cells. Asian Pac J Cancer Prev. 2015;16(9):3779-83
3. Sesamin induces cell cycle arrest and apoptosis through the inhibition of signal transducer and activator of transcription 3 signalling in human hepatocellular carcinoma cell line HepG2. Biol Pharm Bull. 2013;36(10):1540-8
4. Sesamin and episesamin induce apoptosis in human lymphoid leukemia Molt 4B cells. Int J Mol Med. 2000 Jul;6(1):43-6
5. Sesamin stimulates osteoblast differentiation through p38 and ERK1/2 MAPK signaling pathways.BMC Complement Altern Med. 2012 May 30;12:71. doi: 10.1186/1472-6882-12-71
6. Protective effects of sesamin against liver damage caused by alcohol or carbon tetrachloride in rodents.Ann Nutr Metab. 1993;37(4):218-24
7. Sesamin protects mouse liver against nickel-induced oxidative DNA damage and apoptosis by the PI3K-Akt pathway.J Agric Food Chem.2013 Feb 6;61(5):1146-54. doi: 10.1021/jf304562b
8.Antioxidative roles of sesamin, a functional lignan in sesame seed, and it's effect on lipid- and alcohol-metabolism in the liver: a DNA microarray study.Biofactors.2004;21(1-4):191-6
9. Sesamin ingestion regulates the transcription levels of hepatic metabolizing enzymes for alcohol and lipids in rats. Alcohol Clin Exp Res.2005 Nov;29(11 Suppl):116S-120S
10. Cholesterol-lowering activity of sesamin is associated with down-regulation on genes of sterol transporters involved in cholesterol absorption. J Agric Food Chem.2015 Mar 25;63(11):2963-9. doi: 10.1021/jf5063606
11. Anti-atherosclerotic and anti-inflammatory actions of sesame oil. J Med Food.2015 Jan;18(1):11-20. doi: 10.1089
12. Nutraceutical functions of sesame: a review. Crit Rev Food Sci Nutr.2007;47(7):651-73
13. Antihypertensive effects of sesamin in humans. J Nutr Sci Vitaminol (Tokyo).2009 Feb;55(1):87-91
14. ข้าวกาบา. สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. http://ifrpd.ku.ac.th/th/products/ifrpd-gaba-rice.php
15.  ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร. คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล