วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562

ประโยชน์ของวิตามินบีรวม

ประโยชน์ของวิตามินบีรวม

วิตามินบีรวม หรือ วิตามินบีแต่ละชนิด จัดเป็นวิตามินที่มีความโดดเด่น เพราะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและประสาท โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยทำงาน นอนดึกตื่นเช้า การทำงานที่เร่งรีบทำให้ไม่ได้ใส่ใจในการรับประทานอาหาร ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
วิตามินบี แต่ละตัวจะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ต้องรับประทานร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแยกรับประทาน สำหรับชนิดต่าง ๆ ของวิตามินบีรวมนั้นก็ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 7 วิตามินบี 9 วิตามินบี 12 วิตามินบี 15 วิตามินบี 17 และยังรวมไปถึง ไบโอติน โคลีน พาบา อิโนซิทอล อีกด้วยที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม

ส่วนประโยชน์ของวิตามินแต่ละชนิด มีดังนี้

วิตามินบี 1 : ช่วยเพิ่มพลังกาย ประโยชน์เป็นวิตามินที่ช่วยลดความเครียด และช่วยให้ร่างกายนำพลังงานจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายสมบูรณ์

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ผัก โฮลวีต ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง รำข้าว เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี บริเวอร์ยีสต์ นม ไข่แดง ปลา เนื้อออร์แกนิก เนื้อหมูไม่ติดมัน

ประโยชน์ของวิตามินบี 1
1. ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ ทำให้หัวใจทำงานเป็นปกติ
2. ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
3. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต
4. ช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้ดี
5. ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
6. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดทำฟัน
7. ช่วยรักษาโรคงูสวัด
8. ช่วยรักษาโรคเหน็บชา

วิตามินบี 2: ป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย วิตามินบี 2 มีสรรพคุณในการลดอาการปวดหัวจากการใช้สมองอย่างหนัก แถมยังลดอาการปวดหัวจากไมเกรนได้อย่างดี มีคุณสมบัติคล้ายกับสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ ไต

โรคจากการขาดวิตามินบี 2 ชนิดนี้ ได้แก่ โรคปากนกกระจอก หรือโรคขาดวิตามินบี 1 และบี 2 พบที่บริเวณริมฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง

ประโยชน์ของวิตามินบี 2
1. บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
2. ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
4. ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
5. กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
6. ทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน

วิตามินบี 3: ประโยชน์ป้องกันสิวจากการอดนอน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน หรือพักผ่อนน้อยอยู่แล้วละก็ นอกจากสุขภาพที่ทรุดโทรมแล้ว การพักผ่อนน้อยจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของสิว ทำให้สิวเห่อขึ้นเต็มหน้า การทานวิตามินบี 3 จะช่วยป้องกันปัญหาสิวจากการอดหลับอดนอนได้

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน เนื้อขาวจากพวกสัตว์ปีก ตับ โฮลวีต จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง อะโวคาโด อินทผลัม ลูกพรุน มะเดื่อฝรั่ง บริเวอร์ยีสต์

โรคจากการขาดวิตามินบี 3 ชนิดนี้ ได้แก่ โรคเพลลากรา (Pellagra) ลักษณะอาการคือเป็นผื่นผิวหนังอักเสบรุนแรง

ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด
1. อาจมีแนวโน้มเป็นโรคเกาต์หรือมีอาการปวดตามข้อได้ หากในร่างกายคุณมีไนอะซินมากเกินไป
2. ผลข้างเคียงอาจมีอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง คันตามตัว เมื่อรับประทานเกินกว่า 100 mg.
3. ไม่ควรให้สัตว์กินไนอะซิน โดยเฉพาะสุนัข เพราะอาจมีอาการเหงื่อออก ร้อนวูบวาบตามตัว และสร้างความอึดอัดแก่สัตว์เลี้ยงได้
4. ทำให้ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานมีปัญหาต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด หรือส่งผลให้อาการของโรคเบาหวานรุนแรงขึ้นได้และอาจทำให้ตับทำงานผิดปกติได้ เพราะไนอะซินในร่างกายที่มีสูงมากเกินไปจะส่งผลต่อการควบคุมน้ำตาลในร่างกาย

ประโยชน์ของวิตามินบี 3
1. ช่วยบำรุงผิวพรรณ
2. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
3. ช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น บรรเทาปัญหาต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหาร
4. บรรเทาอาการปวดศีระษะจากไมเกรน
5. ลดอาการวิงเวียนศีรษะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
6. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดความดันโลหิต
7. ช่วยรักษาอาการร้อนในและกลิ่นปาก
8. บรรเทาอาการท้องร่วง
9. ช่วยเพิ่มพลังงานที่ได้จากการย่อยและเผาผลาญอาหาร

วิตามินบี 5: ช่วยผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายลดความตึงเครียด สำหรับใครที่รู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาแล้วละก็ ลองทานวิตามินบี 5 เพิ่มขึ้น เพราะวิตามินบี 5 จะช่วยกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนลดความเครียดออกมา ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ตับ ไต หัวใจ ธัญพืชไม่ขัดสี รำข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่ว ผักสีเขียว กากน้ำตาลไม่บริสุทธิ์ บริเวอร์ยีสต์

โรคจากการขาดวิตามินบี 5 ได้แก่ โรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นแผลในลำไส้เล็ก โรคเลือด โรคผิวหนัง

ประโยชน์ของวิตามินบี 5
1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
2. ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
4. ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
5. ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
6. ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
7. ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
8. ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
9. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย

วิตามินบี 6: ช่วยลดความแปรปรวนของอารมณ์ในช่วงเป็นประจำเดือน อาการนอนไม่หลับของสาว ๆ ในช่วงเป็นประจำเดือนนั้น เป็นอาการที่พบได้บ่อย จึงทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่าย สามารถลดอาการได้ง่าย ๆ ด้วยการทานวิตามินบี 6 ซึ่งจะช่วยปรับฮอร์โมนให้เป็นปกติ  จึงทำให้สมองผ่อนคลาย

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ บริเวอร์ยีสต์ รำข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง วอลนัต กะหล่ำปลี กากน้ำตาล แคนตาลูป ไข่ ตับ ปลา

โรคจากการขาดวิตามินบี 6 โรคโลหิตจาง ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน

ประโยชน์ของวิตามินบี 6
1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
2. ช่วยชะลอวัยได้
3. ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
5. ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
6. ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟน ให้เป็นวิตามินบี 3
7. ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
8. ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
9. เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
10. ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
11. ช่วยลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก

วิตามินบี 7 หรือ วิตามินเอช : ทำให้ร่างกายดูสดใส การทำงานหนัก ขาดการดูแลร่างกายทำให้ร่างกายทรุดโทรม ซึ่งวิตามินบี 7 จะช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวล มีน้ำมีนวล ทำให้เล็บสุขภาพดี

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ตับวัว ไข่แดง นม แป้งถั่วเหลือง เนย ถั่วลิสง บริเวอร์ยีสต์ ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี

โรคจากการขาดไบโอติน ผมร่วง ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง การเผาผลาญไขมันทำงานไม่สมบูรณ์ เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณหน้าและตัว แต่ทั้งนี้ยังไม่พบผู้ที่มีอาการเป็นพิษจากการรับประทานไบโอตินเกินขนาดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

ประโยชน์ของไบโอติน
1. ช่วยป้องกันผมหงอกได้ดี
2. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะล้าน
3. ช่วยป้องกันและบำรุงรักษาเล็บที่แห้งเปราะ
4. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน
5. บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
6. ช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคันต่าง ๆ

วิตามินบี 9: มีประโยชน์คือป้องกันโลหิตจาง เป็นวิตามินที่เหมาะมากสำหรับคุณแม่มือใหม่ เพราะจะลดอาการซึมเศร้าจากการตั้งครรภ์ ช่วยลดอาการขี้หลงขี้ลืม ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม แคร์รอต แคนตาลูป ฟักทอง เอพริคอต อะโวคาโด อาร์ทิโชก ถั่ว แป้งไรย์แบบสีเข้มที่ไม่ผ่านการขัดสี ทอร์ทูลายีสต์

โรคจากการขาดวิตามินบี 9 โรคโลหิตจางแบบแมโครไซติกหรือเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ

ประโยชน์ของวิตามินบี 9
1. ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพ
2. ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
3. ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลง หากรับประทานร่วมกับพาบา และวิตามินบี5
4. ช่วยให้เจริญอาหาร หากร่างกายอ่อนเพลีย
5. ช่วยป้องกันแผลร้อนในได้
6. ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง
7. ทำงานออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวด
8. ช่วยป้องกันพยาธิในลำไส้และอาการแพ้จากอาหารเป็นพิษ
9. ช่วยป้องกันการพิการของเด็กทารกแรกเกิด
10. ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร
11. ช่วยลดระดับของกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีนในเลือด
12. ชวยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้

วิตามินบี 12: ทำให้ความจำดี เนื่องจากในชีวิตประจำวัน มีสิ่งต่าง ๆที่ต้องทำ เพราะกิจกรรมที่อัดแน่น หากต้องการมีความจำดีแล้วละก็ ลองทานวิตามินบี 12 เป็นประจำ จะทำให้ระบบประสาทและสมอง ทำงานเป็นปกติ

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์เป็นหลัก ตับ ไต นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารหมักดอง เป็นต้น

ประโยชน์ของวิตามินบี12
1. ช่วยบำรุงประสาททำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
2. ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
3. ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
4. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
5. ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
6. ทำให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
7. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
8. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
10. ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

โคลีน (Choline) เป็นหนึ่งในสารที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และจัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่แดง เนื้อสัตว์ หัวใจ สมอง ตับ ปลา ผักใบเขียว ยีสต์ จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง ถั่วลิสง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
ยังไม่มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันอย่างเป็นทางการ แต่มีการประมาณว่าในวัยผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้ประมาณ 500 - 900 mg. ต่อวัน

โรคจากการขาดโคลีน
1. โรคอัลไซเมอร์
2. ผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัว
3. โรคตับแข็งหรือไขมันสะสมที่ตับ

ประโยชน์ของโคลีน
1. ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
2. ช่วยต่อสู้กับปัญหาความจำเสื่อมในวัยสูงอายุ (ด้วยขนาด 1,000 - 5,000 mg. ต่อวัน)
3. ช่วยรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้
4. ช่วยในกระบวนการส่งกระแสประสาท โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ทำงานด้านความจำ
5. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
6. ช่วยป้องกันภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด
7. ช่วยลดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอลได้
8. ช่วยกำจัดสารพิษและยาที่ค้างในร่างกาย โดยช่วยเสริมการทำงานของตับ

ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่นี่ >>>คลิ๊ก




สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับทุกๆ ความคิดเห็น