วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562

ประโยชน์ของวิตามินบีรวม

03:05 0 Comments

ประโยชน์ของวิตามินบีรวม

วิตามินบีรวม หรือ วิตามินบีแต่ละชนิด จัดเป็นวิตามินที่มีความโดดเด่น เพราะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและประสาท โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยทำงาน นอนดึกตื่นเช้า การทำงานที่เร่งรีบทำให้ไม่ได้ใส่ใจในการรับประทานอาหาร ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
วิตามินบี แต่ละตัวจะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ต้องรับประทานร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแยกรับประทาน สำหรับชนิดต่าง ๆ ของวิตามินบีรวมนั้นก็ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 7 วิตามินบี 9 วิตามินบี 12 วิตามินบี 15 วิตามินบี 17 และยังรวมไปถึง ไบโอติน โคลีน พาบา อิโนซิทอล อีกด้วยที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม

ส่วนประโยชน์ของวิตามินแต่ละชนิด มีดังนี้

วิตามินบี 1 : ช่วยเพิ่มพลังกาย ประโยชน์เป็นวิตามินที่ช่วยลดความเครียด และช่วยให้ร่างกายนำพลังงานจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายสมบูรณ์

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ผัก โฮลวีต ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง รำข้าว เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี บริเวอร์ยีสต์ นม ไข่แดง ปลา เนื้อออร์แกนิก เนื้อหมูไม่ติดมัน

ประโยชน์ของวิตามินบี 1
1. ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ ทำให้หัวใจทำงานเป็นปกติ
2. ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
3. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต
4. ช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้ดี
5. ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
6. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดทำฟัน
7. ช่วยรักษาโรคงูสวัด
8. ช่วยรักษาโรคเหน็บชา

วิตามินบี 2: ป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย วิตามินบี 2 มีสรรพคุณในการลดอาการปวดหัวจากการใช้สมองอย่างหนัก แถมยังลดอาการปวดหัวจากไมเกรนได้อย่างดี มีคุณสมบัติคล้ายกับสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ ไต

โรคจากการขาดวิตามินบี 2 ชนิดนี้ ได้แก่ โรคปากนกกระจอก หรือโรคขาดวิตามินบี 1 และบี 2 พบที่บริเวณริมฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง

ประโยชน์ของวิตามินบี 2
1. บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
2. ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
4. ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
5. กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
6. ทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน

วิตามินบี 3: ประโยชน์ป้องกันสิวจากการอดนอน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน หรือพักผ่อนน้อยอยู่แล้วละก็ นอกจากสุขภาพที่ทรุดโทรมแล้ว การพักผ่อนน้อยจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของสิว ทำให้สิวเห่อขึ้นเต็มหน้า การทานวิตามินบี 3 จะช่วยป้องกันปัญหาสิวจากการอดหลับอดนอนได้

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน เนื้อขาวจากพวกสัตว์ปีก ตับ โฮลวีต จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง อะโวคาโด อินทผลัม ลูกพรุน มะเดื่อฝรั่ง บริเวอร์ยีสต์

โรคจากการขาดวิตามินบี 3 ชนิดนี้ ได้แก่ โรคเพลลากรา (Pellagra) ลักษณะอาการคือเป็นผื่นผิวหนังอักเสบรุนแรง

ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด
1. อาจมีแนวโน้มเป็นโรคเกาต์หรือมีอาการปวดตามข้อได้ หากในร่างกายคุณมีไนอะซินมากเกินไป
2. ผลข้างเคียงอาจมีอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง คันตามตัว เมื่อรับประทานเกินกว่า 100 mg.
3. ไม่ควรให้สัตว์กินไนอะซิน โดยเฉพาะสุนัข เพราะอาจมีอาการเหงื่อออก ร้อนวูบวาบตามตัว และสร้างความอึดอัดแก่สัตว์เลี้ยงได้
4. ทำให้ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานมีปัญหาต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด หรือส่งผลให้อาการของโรคเบาหวานรุนแรงขึ้นได้และอาจทำให้ตับทำงานผิดปกติได้ เพราะไนอะซินในร่างกายที่มีสูงมากเกินไปจะส่งผลต่อการควบคุมน้ำตาลในร่างกาย

ประโยชน์ของวิตามินบี 3
1. ช่วยบำรุงผิวพรรณ
2. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
3. ช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น บรรเทาปัญหาต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหาร
4. บรรเทาอาการปวดศีระษะจากไมเกรน
5. ลดอาการวิงเวียนศีรษะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
6. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดความดันโลหิต
7. ช่วยรักษาอาการร้อนในและกลิ่นปาก
8. บรรเทาอาการท้องร่วง
9. ช่วยเพิ่มพลังงานที่ได้จากการย่อยและเผาผลาญอาหาร

วิตามินบี 5: ช่วยผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายลดความตึงเครียด สำหรับใครที่รู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาแล้วละก็ ลองทานวิตามินบี 5 เพิ่มขึ้น เพราะวิตามินบี 5 จะช่วยกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนลดความเครียดออกมา ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ตับ ไต หัวใจ ธัญพืชไม่ขัดสี รำข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่ว ผักสีเขียว กากน้ำตาลไม่บริสุทธิ์ บริเวอร์ยีสต์

โรคจากการขาดวิตามินบี 5 ได้แก่ โรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นแผลในลำไส้เล็ก โรคเลือด โรคผิวหนัง

ประโยชน์ของวิตามินบี 5
1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
2. ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
4. ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
5. ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
6. ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
7. ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
8. ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
9. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย

วิตามินบี 6: ช่วยลดความแปรปรวนของอารมณ์ในช่วงเป็นประจำเดือน อาการนอนไม่หลับของสาว ๆ ในช่วงเป็นประจำเดือนนั้น เป็นอาการที่พบได้บ่อย จึงทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่าย สามารถลดอาการได้ง่าย ๆ ด้วยการทานวิตามินบี 6 ซึ่งจะช่วยปรับฮอร์โมนให้เป็นปกติ  จึงทำให้สมองผ่อนคลาย

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ บริเวอร์ยีสต์ รำข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง วอลนัต กะหล่ำปลี กากน้ำตาล แคนตาลูป ไข่ ตับ ปลา

โรคจากการขาดวิตามินบี 6 โรคโลหิตจาง ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน

ประโยชน์ของวิตามินบี 6
1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
2. ช่วยชะลอวัยได้
3. ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
5. ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
6. ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟน ให้เป็นวิตามินบี 3
7. ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
8. ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
9. เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
10. ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
11. ช่วยลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก

วิตามินบี 7 หรือ วิตามินเอช : ทำให้ร่างกายดูสดใส การทำงานหนัก ขาดการดูแลร่างกายทำให้ร่างกายทรุดโทรม ซึ่งวิตามินบี 7 จะช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวล มีน้ำมีนวล ทำให้เล็บสุขภาพดี

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ตับวัว ไข่แดง นม แป้งถั่วเหลือง เนย ถั่วลิสง บริเวอร์ยีสต์ ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี

โรคจากการขาดไบโอติน ผมร่วง ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง การเผาผลาญไขมันทำงานไม่สมบูรณ์ เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณหน้าและตัว แต่ทั้งนี้ยังไม่พบผู้ที่มีอาการเป็นพิษจากการรับประทานไบโอตินเกินขนาดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

ประโยชน์ของไบโอติน
1. ช่วยป้องกันผมหงอกได้ดี
2. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะล้าน
3. ช่วยป้องกันและบำรุงรักษาเล็บที่แห้งเปราะ
4. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน
5. บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
6. ช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคันต่าง ๆ

วิตามินบี 9: มีประโยชน์คือป้องกันโลหิตจาง เป็นวิตามินที่เหมาะมากสำหรับคุณแม่มือใหม่ เพราะจะลดอาการซึมเศร้าจากการตั้งครรภ์ ช่วยลดอาการขี้หลงขี้ลืม ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม แคร์รอต แคนตาลูป ฟักทอง เอพริคอต อะโวคาโด อาร์ทิโชก ถั่ว แป้งไรย์แบบสีเข้มที่ไม่ผ่านการขัดสี ทอร์ทูลายีสต์

โรคจากการขาดวิตามินบี 9 โรคโลหิตจางแบบแมโครไซติกหรือเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ

ประโยชน์ของวิตามินบี 9
1. ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพ
2. ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
3. ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลง หากรับประทานร่วมกับพาบา และวิตามินบี5
4. ช่วยให้เจริญอาหาร หากร่างกายอ่อนเพลีย
5. ช่วยป้องกันแผลร้อนในได้
6. ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง
7. ทำงานออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวด
8. ช่วยป้องกันพยาธิในลำไส้และอาการแพ้จากอาหารเป็นพิษ
9. ช่วยป้องกันการพิการของเด็กทารกแรกเกิด
10. ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร
11. ช่วยลดระดับของกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีนในเลือด
12. ชวยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้

วิตามินบี 12: ทำให้ความจำดี เนื่องจากในชีวิตประจำวัน มีสิ่งต่าง ๆที่ต้องทำ เพราะกิจกรรมที่อัดแน่น หากต้องการมีความจำดีแล้วละก็ ลองทานวิตามินบี 12 เป็นประจำ จะทำให้ระบบประสาทและสมอง ทำงานเป็นปกติ

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์เป็นหลัก ตับ ไต นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารหมักดอง เป็นต้น

ประโยชน์ของวิตามินบี12
1. ช่วยบำรุงประสาททำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
2. ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
3. ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
4. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
5. ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
6. ทำให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
7. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
8. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
10. ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

โคลีน (Choline) เป็นหนึ่งในสารที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และจัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม

แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่แดง เนื้อสัตว์ หัวใจ สมอง ตับ ปลา ผักใบเขียว ยีสต์ จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง ถั่วลิสง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
ยังไม่มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันอย่างเป็นทางการ แต่มีการประมาณว่าในวัยผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้ประมาณ 500 - 900 mg. ต่อวัน

โรคจากการขาดโคลีน
1. โรคอัลไซเมอร์
2. ผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัว
3. โรคตับแข็งหรือไขมันสะสมที่ตับ

ประโยชน์ของโคลีน
1. ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
2. ช่วยต่อสู้กับปัญหาความจำเสื่อมในวัยสูงอายุ (ด้วยขนาด 1,000 - 5,000 mg. ต่อวัน)
3. ช่วยรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้
4. ช่วยในกระบวนการส่งกระแสประสาท โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ทำงานด้านความจำ
5. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
6. ช่วยป้องกันภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด
7. ช่วยลดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอลได้
8. ช่วยกำจัดสารพิษและยาที่ค้างในร่างกาย โดยช่วยเสริมการทำงานของตับ

ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่นี่ >>>คลิ๊ก




สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562

ตับ คืออะไร อยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไร

06:38 0 Comments

ตับ คืออะไร อยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไร

          ตับ วางอยู่ในช่องท้องด้านขวาบน มองจากหน้าไปหลัง รูปร่างเป็นสามเหลี่ยม ถูกบดบังอยู่ใต้ชายโครง ตับเป็นอวัยวะที่หนักที่สุดในร่างกาย คือ หนักประมาณ 1.2 กิโลกรัม ตับมีอันเดียว บางครั้งแพทย์ มักจะบอกให้เราเข้าใจง่ายๆว่า มีตับกลีบขวาขนาดใหญ่ และกลีบซ้ายขนาดเล็ก

           ตับ เปรียบได้กับโรงงานขนาดใหญ่ เป็นทั้งแหล่งผลิต เป็นโรงแบตเตอรี่ สะสมพลังงาน และโรงทำลายขยะ อาหารทุกชนิดผ่านการย่อยและดูดซึมมาจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) โปรตีน ไขมัน วิตามิน ล้วนมาถูกปรับเปลี่ยนดัดแปลงไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับร่างกาย และยังเป็นโกดังเก็บสะสมสารอาหารต่างๆ เอาไว้ใช้เวลาจำเป็น เช่น น้ำตาลกลูโคส ซึ่งร่างกายใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานทั่วทุกอวัยวะ ถ้ายังไม่ใช้ ตับก็ทำหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสไปเป็นสารที่เรียกว่า ไกลโคเจน เก็บสะสมในตับ เวลาต้องการใช้ ก็จะเปลี่ยนกลับเป็นกลูโคสส่งออกไปจากตับ ตับสร้างโปรตีนที่สำคัญหลายชนิด เช่น อัลบูมิน หรือโปรตีน ไข่ขาว มีหน้าที่มากมายในร่างกาย ถ้าโปรตีนนี้ลดลง ร่างกายจะบวม มีน้ำในท้อง ตับสร้างโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ถ้าตับไม่สร้างเลือดจะไม่แข็งตัว และไหลไม่หยุด

           เซลล์ตับ เมื่อรับของเสียมา ของเสียต่างๆ จะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโมเลกุล หรือสารที่เหมาะสม ไปรวมกับเกลือน้ำดีหลายชนิด และขับออกจากเซลล์ตับไปสู่ท่อขนาดเล็กๆ ไปรวมเป็นท่อขนาดใหญ่ ซึ่งท่อเหล่านี้เรียกว่า “ท่อน้ำดี” ท่อน้ำดีรวม จะมีส่วนที่เป็นท่อออกมานอกตับ ลงไปต่อกับลำไส้เล็กส่วนต้น คำว่า “ถุงน้ำดี” เป็นถุงที่อยู่บริเวณใต้ตับ เอาไว้เก็บน้ำดีบางส่วนที่ไหลออกมาจากตับ ถุงน้ำดีจะมีท่อขนาดเล็กยื่นออกไปต่อกับท่อน้ำดีบริเวณใต้ตับ เมื่อเราทานอาหารประเภทไขมัน ถุงน้ำดีจะบีบตัวขับให้น้ำดีที่สะสมอยู่ลงมาช่วยย่อยไขมันในลำไส้

           “น้ำดี” เป็นสีเขียวเหลือ ผลิตออกจากตับวันละเกือบ 1 ลิตร ลองนึกเทียบกับน้ำในขวดใส่น้ำขนาดใหญ่ 1 ลิตร น้ำดีนี้ ประกอบด้วยทั้งของเสียที่ร่างกยต้องการขับออก แต่ก็มีของดีปนอยู่มาก เหมาะกับคำเรียกว่าน้ำดี เพราะประกอบด้วยเกลือน้ำดี หลายชนิดปนกัน มีหน้าที่ช่วยในการย่อยและดูดซึมอาหารประเภทไขมัน และวิตามิน เอ ดี อี เค จากบริเวณลำไส้ น้ำดียังประกอบด้วยสารที่เป็นสีเหลือง หรือที่เรียกว่า บิลิรูบิน ซึ่งถ้าเกิดท่อน้ำดีตัน หรือ เซลล์ตับขับสารนี้ไม่ออก จะเกิดอาการตาเหลืองตัวเหลือง

ถ้าตับเสียไปจะเกิดอะไรขึ้น
           ตับมีขนาดใหญ่ และทำหน้าที่ทดแทนกันได้มาก ฉะนั้นถ้าถูกทำลายไปไม่มาก เจ้าของตับก็มักไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น แต่ถ้าตับเสียไปมาก เช่น กรณีตับอักเสบรุนแรงจนขั้นตับวาย ตับเสียไป 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเริ่มเกิดอาการต่างๆ ได้แก่ ตาเหลือง บวม มีน้ำในช่องท้อง ซึม สับสน เลือดออกตามร่างกาย อาเจียน เป็นเลือด และถ้ารุนแรงมากๆ ก็จะเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่วัน

           ท่อน้ำดี ถ้าเกิดการอุดตัน เช่น เป็นนิ่วในท่อน้ำดี เป็นมะเร็งท่อน้ำดี ท่อน้ำดีตีบ ของเสียก็จะคั่งในตับ และในเลือด ทำให้เกิดอาการตาเหลือง ตัวเหลือง อุจจาระซีด และคันตามร่างกาย


สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล



วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

เรื่องน่ารู้ของทับทิม

20:18 0 Comments

            ทับทิมเป็นผลไม้ที่สวยงาม และมีกลิ่นหอมมาก ทับทิมสามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) ทับทิมเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว
คุณประโยชน์ของทับทิมในตำราแพทย์สมัยโบราณของเปอร์เซีย

            ในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ระบุว่าทับทิมมีประโยชน์มากมาย

คุณประโยชน์ทับทิมจากการวิจัยทาการแพทย์

1. ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก (อ้างอิงที่ 1)

2. สามารถลดภาวการณ์สะสมไขมันในผนังเส้นเลือดป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัว ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดตามมา ทั้งในคนและในหนูทดลอง (อ้างอิงที่ 2,3)

3. ทำให้เส้นเลือดที่หนาตัว และมีไขมันสะสมซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีแล้ว มีความหนาตัวลดลงและลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วยในหนูทดลอง (อ้างอิงที่ 4)

4. บำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดีขึ้น และลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ (อ้างอิงที่ 5)

5. ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ประมาณ 5% ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง ถ้ารับประทานน้ำทับทิมวันละ 50 ซีซี เป็นเวลาสองสัปดาห์ (อ้างอิงที่ 6)

6. บำรุงตับ ป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้ (Hepatoprotectiv effect) (อ้างอิงที่ 7)

7. สารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำทับทิมมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์ (Human breast cell) (อ้างอิงที่ 8)

8. สารสกัดจากทับทิม ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของมนุษย์ ทั้งการแบ่งตัวและการแพร่กระจาย (อ้างอิงที่ 9) และมีงานวิจัยที่แนะนำให้กินหวังผลในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก(อ้างอิงที่ 10)

เอกสารอ้างอิง
1. Studies on the antioxidant activity of pomegranate (Punica granatum) peel and seed extracts using in vitro models. J Agric Food Chem 2002 Jan 2;50(1):81-6
2. Pomegranate juice supplementation to atherosclerotic mice reduces macrophage lipid peroxidation, cellular cholesterol accumulation and development of atherosclerosis. J Nutr 2001 Aug: 131(8):2082-9
3. Pomegranate juice flavonoids inhibit low-density lipoprotein oxidation and cardiov ascular diseases : studies in atherosclerotic mice and in humans. Drugs Exp Clin Res 2002; 28(2-3):49-62
4. Pomegranate juice consumption reduces oxidative stress, atherogenic modifications to LDL, and platelet aggregation: studies in humans and in atherosclerotic apolipoprotein E-deficient mice. Am J Clin Nutr 2000 May; 71(5):1062-76
5. Effects of pomegranate juice consumption on myocardial perfusion in patients with coronary heart disease. Am J Cardiol. 2005 Sep 15; 96(6):810-4
6. Pomegranate juice consumption inhibits serum angiotensin converting enzyme activity and reduces systolic blood pressure. Atherosclerosis 2001 Sep; 158(1):195-8
7. Studies on antioxidant activity of pomegranate (Punica granatum) peel extract using in vivo models. J Agric Food Chem 2002 Aug 14; 50(17):4791-5
8. Chemopreventive and adjuvant therapeutic potential of pomegranate (Punica granatum) for human breast cancer. Breast Cancer Res Treat 2002 Feb; 71(3):203-17
9. Pomegranate extracts potently suppress proliferation, xenograft growth, and invasion of human prostate cancer cells. J Med Food. 2004 Fall;7(3):274-83
10. Prostate cancer prevention through pomegranate fruit. Cell Cycle. 2006 Feb; 5(4):371-3. Epub 2006 Feb 15.

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับคอลลาเจน

20:16 0 Comments

          คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี เป็นตัวช่วยสร้างความตึงกระชับให้กับผิว ผิวหนังจะมีการเสื่อม สภาพได้ด้วยสาเหตุหลักๆ 2 ประการคือ การเสื่อมตามวัย และเสื่อมเนื่องจากผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม ทำให้มีผลกระทบต่อผิวพรรณ เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหมองคล้ำ ไม่เต่งตึงที่สำคัญ คือ กลไกของความเสื่อมที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นจากทั้งสองสาเหตุนี้เกิดจากเส้นใยคอลลาเจน (Collagen fibers) ที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้มีการเสื่อมลง

• ผิวหนังของคนเรา ปกติแล้วแบ่งเป็น 3 ชั้นคือ

  1. ผิวหนังชั้นกำพร้า (Epidermis) เป็นผิวชั้นนอกสุด ประกอบด้วยเซลล์ผิวหนัง (Keratinocyte) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างสารเคอราติน (Keratin) ปกคลุมผิวหน้าของผิวหนังเป็นชั้นขี้ไคล ขั้นหนังกำพร้านี้ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นให้กับพื้นผิว ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย รักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ (อ้างอิงที่ 1,2) 
  2. ผิวหนังแท้ (Dermis) เป็นผิวชั้นใน ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเส้นใยประสานกันไปมาคือ โปรตีนเส้นใดของคอลลาเจน (Collagen fibers), โปรตีนเส้นใยอีลาสติก (Elastic fibers) และโปรตีนเส้นใยร่างแห (Recticulum fibers) นอกจากนี้ยังมีกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทต่างๆ ที่รับความรู้สึกอยู่ด้วย (อ้างอิงที่ 1,2) 
  3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutis) ทำหน้าที่รองรับผิวหนังให้คงรูปร่าง ช่วยลดการกระทบกระแทก และเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายยามขาดแคลนพลังงาน (อ้างอิงที่ 1,2) คอลลาเจน (Collagen) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ คอลลา(Kolla) ซึ่งแปลว่ากาว คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ ทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบ เนียน และทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ อีลาสติน (Elastin) ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว อีลาสตินก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว (อ้างอิงที่ 3) ในวัยเด็กคอลลาเจนยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้เห็นว่าเด็กๆ หรือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้นเส้นใยคอลลาเจนเหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง อันเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย อย่างไรก็ตามเราสามารถเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ร่างกายได้เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น (อ้างอิงที่ 4 ) ด้วยการรับประทานคอลลาเจน หรือวิธีการฉีดคอลลาเจนเข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ แต่วิธีการฉีดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยากเพราะต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญดังนั้น วิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาร์ทิโชก และแดนดิไลออน พืชที่มีคุณประโยชน์ต่อตับ

20:13 0 Comments
          อาร์ทิโชก (Artichoke) และแดนดิไลออน (Dandelion) นับว่าเป็นพืชที่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าการรับประทานพืชทั้ง 2 ชนิด นี้มีผลดีต่อสุขภาพตับหลายประการไม่ว่าจะเป็นการช่วยตับในกระบวนการขจัดสารพิษออกจากร่างกายช่วยป้องกันตับถูกทำงานจาการพิษต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์ เป็นต้น และยังมีประโยชน์ในด้านการรักษาตับอักเสบ โดยช่วยต่อต้านการสร้างพังผืดที่ตับ (Antifibrotic activity) จากการเหนี่ยวนำด้วยสารพิษ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นความสารถในการสร้างเซลล์ตับใหม่ด้วย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี
          ตับ คือ อวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมีหน้าที่สำคัญในกาควบคุมสภาพร่างกายให้อยู่ดีมีสุข โดยทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ขจัดสารพิษออกจากเลือด สร้างภูมิคุ้มกันบางอย่างขึ้นมาต่อสู้โรคติดเชื้อ ตลอดจนกำจัดเชื้อโรต่าง ๆ ออกจากเลือด นอกจากนี้ตับยังทำหน้าที่สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว ตลอดจนสร้างน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ช่วยการดูดซึมไขมันและวิตามินละลายในน้ำมัน ตับแข็ง เป็นสภาวะตับที่เกิดแผลเป็นขึ้นหลังจากมีการอักเสบหรือภยันอันตรายต่อเนื้อตับ เมื่อเนื้อตับที่ดีถูกทำลายลงจากการอักเสบหรือสาเหตุอื่น ๆ เนื้อตับที่เหลือจะล้อมรอบและทดแทนด้วยเนื้อเยื่อประเภทผังพืด เป็นผลให้เลือดที่ไหลผ่านตับถูกอุดกั้น ไหลไม่สะดวก และการทำงานของตับลดลง เนื่องจากเนื้อตับดีที่เหลืออยู่ลดน้อยลง เคยมีผู้ประเมินไว้ว่าโรคตับแข็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโชก 25,000 คน ในทุกปีจัดได้ว่าเป็นสาเหตุการณ์ที่เกิดจากโรคเป็นอันดับที่ 8 นอกจากนี้โรคตับแข็งยังเป็นสาเหตุของการสูญเสียทางเศรษฐกิจเนื่องจากผู้ป่วยขาดงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายรักษาในโรงพยาบาล และยังก้อให้เกิดทุกขเวทนาในผู้ป่วยที่เป็น เช่น ภาวะท้องมานน้ำ เป็นต้น สาเหตุของโรคตับแข็งมีมากมายที่จะทำให้เกิดโรคตับแข็ง โดยสาเหตุนั้น ๆ จะต้องทำให้ตับมีการอักเสบเรื้อรังนานเป็นปี จนทำให้เนื้อตับตายลง เกิดแผลเป็น

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสารอาหารเพื่อความงาม

20:11 0 Comments

            ความงดงามเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจในการดูแลและรักษา ความงามจะประกอบไปด้วยรูปร่างที่ดีและผิวพรรณที่ดี การดูแลสุขภาพเพื่อให้มีผิวพรรณที่ดีนั้น ทำได้ทั้งการดูแลจากภายในและภายนอก การดูแลจากภายนอกนั้น สามารถทำได้โดยด้วยการดูแลผิวให้สะอาดการให้ความชุ่มชื้นด้วยโลชั่นหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ การป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยโลชั่นหรือครีมกันแดด ส่วนการดูแลให้ผิวสวยจากภายในนั้น สามารถทำได้โดยการพักผ่อนให้พอเพียง การทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง สบาย ไม่เครียด การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอการไม่สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ และการได้

            มีปัจจัยหลายๆประการที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวของเราได้ ทั้งปัจจัยจากภายนอก อันได้แก่สิ่งแวดล้อม แสงแดด มลภาวะต่างๆ และปัจจัยจากภายในคือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความเครียด การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และที่สำคัญคือการเสื่อมสภาพของเซลล์ที่เกิดขึ้นจากอนุมูลอิสระ (Free radicals) ในร่างกาย

            อนุมูลอิสระสามารถได้รับจากมลภาวะภายนอกและยังเป็นสิ่งที่เซลล์ในร่างกายของเราสามารถสร้างขึ้นได้เองตลอดเวลาเสมือนเป็นของเสียอย่างหนึ่งของเซลล์ร่างกายเมื่อเกิดขึ้นโดยตัวมันเองจะไปทำให้เซลล์ของเราเสื่อมสภาพเร็วขึ้นร่างกายต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระทำลายทิ้งไปอยู่ตลอดเวลาเช่นกันเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ว่าอนุมูลอิสระเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมของทุกเซลล์และทั้งร่างกายเป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ชรา และโรคภัยไข้เจ็บจำนวนมา เช่นโรคเส้นเลือดตีบตัน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็ง ทางด้านผิวพรรณปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ให้สารอาหารซึ่งสามารถซ่อมแซมและบำรุงโครงสร้างผิวมากมายหลายชนิดทั้งที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารสำคัญอื่นๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้

• สารสกัดจากทับทิมในตำราแพทย์โบราณเปอร์เซียกล่าวไว้ว่าทับทิมทำให้ผิวหน้าสวยปรับปรุงระบบการฟอกและหมุนเวียนโลหิต ฯลฯสารสกัดจากทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้ช่วยในเรื่องลดการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือดบำรุงตับ(อ้างอิงที่ 1-4)

• สารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดหนึ่งของโลกและยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัวช่วยออกฤทธิ์ปกป้องและลดความเสื่อมสภาพผิวช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายในและป้องกันการทำลายผิวจากอนุมูลอิสระนอกจากนี้ยังมีผลดีต่อโรคหัวใจขาดเลือดสารสกัดจากเมล็ดองุ่นยังมีงานวิจัยว่ามีผลดีช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด (อ้างอิงที่ 5,6)

• มิกซ์เบอร์รี่คือเบอร์รี่รวมหลายๆ ชนิด เช่น Bilberry, strawberry, Raspberry โดยเฉพาะBilberry มีสารในกลุ่มแอนโธซัยยานิน (Anthocyanins) คล้ายกับสารสกัดองุ่นเช่นกัน คือ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระชะลอความเสื่อมของเซลล์มีงายวิจัยว่าสารจากเบอร์รี่ช่วยบำรุงการทำงานของเซลล์สมองและมีฤทธิ์ต้านการเจริญผิดปกติของเส้นเลือดฝอย (Anti Angiogenic) ซึ่งมีผลดีต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดขอดและลดการเจริญของมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่บอกว่าอาจมีผลบำรุงจอตาอีกด้วย (อ้างอิงที่ 7,8)

• โคเอนไซม์ คิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อเสียงและมีงานวิจัยตลอดจนมีการทำเป็นอาหารเสริมทั่วโลก CoQ10 ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดเส้นเลือดตีบตัน (Atherosclerotic) ด้วยกลไกการยับยั้งออกซิเดชั่นของไขมันในเลือดชนิดแอลดีแอล(ส่วนมากเป็นโคเรสเตอรอล)นอกจากนี้ยังถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ชะลอการแก่ก่อนวัย (Anti-aging) และยังมีประโยชน์ในผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวานอีกด้วย (อ้างอิงที่ 9,10)

• วิตามินอี เป็นสาร Antioxidant ป้องกันการแตกสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่แตกง่าย และจำเป็นต่อการเจริญและพัฒนาต่อเซลล์ประสาท(อ้างอิงที่ 11 ) วิตามินอียังทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นนุ่มนวล

• โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง เป็นแหล่งของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังให้ผิวหนังมีความตึงตัวกระชับ นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังมีสารจีเนสทีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็นฮอร์โมนจากพืช บำรุงผิวพรรณและยังมีประโยชน์ในโรคหัวใจโรคกระดูกบาง ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งหลายชนิด (อ้างอิงที่ 12-15)

• แครอท ในแครอทมีสาระสำคัญคือเบต้าแคโรทีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant เบต้าแคโรทีนจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามิน เอซึ่งจะช่วยในการป้องกันโรคตาฟางและยังช่วยบำรุงผิวหนังอีกด้วย (อ้างอิงที่11)

• ใยอาหาร ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายลดการสะสมของเสียและสารเป็นพิษในร่างกาย (อ้างอิงที่ 11)

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


เรื่องน่ารู้ของกลูตาไธโอน และสารอาหารที่ช่วยดูแลผิวพรรณ

20:09 0 Comments

          กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารประกอบที่พบได้ทั่วไปในร่างกายของมนุษย์ ประกอบด้วยกรออะมิโน 3 ชนิดคือ กลูตาเมต (Glutamate) ซีสเทอีน (Cysteine) และไกลซีน (Glycine)

มีคุณสมบัติสรุปได้ดังนี้คือ

1. มีบทบาทยับยั้งการสร้างเม็ดสีดา ในกระบวนการสร้างเม็ดสี จึงช่วยลดความคล้ำของผิว
2. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
3. ถ้าร่างกายขาดกลูตาไธโอนจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Oxidative Stress กลูตาไธโอนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นด้วยการลดการสร้างเม็ดสีที่เป็นสีดำ ในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Metabolic Pathway of Melanin) ของผิวหนัง ในผิวหนังของเรา เซลล์ที่สร้างสีดำมีชื่อว่า เมลาโนไซต์ (Melanocyte) เมื่อผิวหนังโดนแสงแดดหรือความร้อนจะกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ให้สร้างเม็ดสีเมลานินชนิดสีดำ (Eumelanin) และเม็ดสีเมลานินชนิดสีชมพู (Phaeomelanin) แต่ที่เราเห็นจะพบว่า โดยมากสีผิวจะคล้ำขึ้นเมื่อโดนแดด เพราะมีการสร้างสีเมลานินสีดำ และแสดงออกมาเด่นกว่า แต่ถ้ามีกลูต้าไธโอนเข้าร่วมในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินแล้ว สารกลูต้าไธโอนจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินชนิดสีดำ ทำให้ร่างกายจะสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินชนิดสีชมพูแทน

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล