วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

เรื่องน่ารู้ของการควบคุมน้ำหนักด้วยสารสกัดจาก ส้มแขก แอล-คาร์นิทีน และโครเมียม


            การลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรืออ้วน มีได้หลายวิธี วิธีมาตรฐานและถือว่าดีและปลอดภัยที่สุดในวงการแพทย์ คือการออกกำลังกายและการควบคุมอาหาร ในสองวิธีนี้การควบคุมอาหารได้ผลดีกว่า แต่การออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายอย่างมากกว่า

การควบคุมน้ำหนักด้วยสารสกัดจากส้มแขก แอล-คาร์นิทีน และโครเมียม

สารสกัดจากส้มแขก

            ส้มแขก มีสาระสำคัญคือ กรดไฮดรอกซีซิตริก (Hydroxy Citric Acid) หรือที่เรียกว่า เอชซีเอ (HCA) มีบทบาทในการยับยั้งกระบวนการบางอย่างที่ร่างกายใช้ในการสร้างไขมัน เมื่อเรารับประทานอาหารพวกแป้งและน้ำตาล ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และนำไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อรับประทานพลังงานมากเกิน น้ำตาลส่วนเกินนี้จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามอวัยวะภายในตามกล้ามเนื้อและใต้ ผิวหนัง ทำให้เกิดความอ้วนขึ้นกรดโฮดรอกซีซิตริกจะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงาน ของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจรเครปไซเคิล (kreb’s cycle) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาลจากอาหารเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกาย แต่สามารถนำน้ำตาลนี้ไปใช้เป็นพลังงานของร่างกายได้ ทำให้มีน้ำตาลในกระแสเลือดตามปกติ ร่างกายจึงไม่อ่อนเพลีย และทำให้ความรู้สึกอยากรับประทานอาหารลดลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีผลไปกระตุ้นให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงาน ทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลง ซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น ทั้งหมดนี้พูดง่าย ๆ คือ ลดการสะสมไขมันตามร่างกาย และเพิ่มการเผาผลาญไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง

งานวิจัยเกี่ยวกับส้มแขก

             งานวิจัยที่ได้ผลในการลดน้ำหนักที่เป็นงานวิจัยที่ออกแบบมาอย่างดี เชื่อถือได้ คืองานวิจัยของบอร์แมนและคณะ ทำในกลุ่มผู้หญิงที่น้ำหนักเกิน 89 คน แบ่งเป็นสองกลุ่มได้ คือ กลุ่มที่ได้รับส้มแขกในปริมาณ 2,400 ม.ก.ต่อวัน (มีสาร HCA 1.2 กรัมต่อวัน) และกลุ่มที่ไม่ได้รับส้มแขก (Double-blind, Placebocontrolled parallel group) นานเป็นเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มที่ได้รับส้มแขกสามารถลดน้ำหนักได้ 3.7 กก. ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับลด 2.4 กก. ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก งานวิจัยนี้บอกว่าส้มแขกได้ผลจริง (อ้างอิงที่ 1 )

- แอล-คาร์นิทีน

            แอล-คาร์นิทีน แอล-ทาร์เทรต (L-Carnitine L-Tartrate) ให้แอล-คาร์นิทีน (L-Carnitine) ซึ่งเป็น สารที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เองมีประโยชน์ในการช่วยในการเผาผลาญกรดไขมัน โดยเป็นตัวนำกรดไขมันชนิด Long Chain เข้ามาสู่ไมโตคอนเดรียของเซลล์กล้ามเนื้อ มาสร้างเป็นพลังงานในกล้ามเนื้อ (อ้างอิงที่ 2) นั่นคือทำให้กล้ามเนื้สามารถใช้พลังงานโดยการสลายไขมันได้

- โครเมียม

           โครเมียม คีเลท (Chromium Chelate) ให้แร่ธาตุโครเมียมมีงานวิจัยสนับสนุนในด้านการควบคุม
น้ำหนักโดยทำงานวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวน 15,655 คน ผลการศึกษาพบว่าการใช้โครเมียมในกลุ่มของคนอ้วนนั้น ช่วยให้ผลในด้านการควบคุมน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิงที่ 3)
ไม่แนะนำ ส้มแขก แอล-คาร์นิทีน และโครเมียม ในเด็กสตรีมีครรภ์ ผู้ให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคตับ และผู้ป่วยเบาหวาน

เอกสารอ้างอิง

1. Effects of (-)-hydroxycitric acid on appetitive variables. Physiol Behav. 2000 Oct 1-15;71(1-2):87-94.
2. Carnitine and physical exercise. Sports Med. 1996 Aug;22(2):109-32.
3. Dietary supplements and weight control in a middleage population. J Altern Complement Med. 2005 Oct;11(5):909-15.

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับภาวะท้องผูกกับมะขามแขก

          ภาวะท้องผูก จัดเป็นอาการที่เกิดกับระบบทางเดินอาหาร เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย สำหรับรายที่มีอาการท้องผูกเล็กน้อย คงไม่จำเป็นต้องพึ่งยาในการรักษาแต่อย่างใด แต่หากมีอาการท้องผูกมากขึ้นและประจำ การใช้ยาก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตามท้องผูกจัดเป็นอาการมิใช่เป็นชื่อของโรค การจะทราบว่าใครมีภาวะท้องผูกบ้างอาจดูได้จากอาการต่อไปนี้ คือ ต้องเบ่งอุจจาระมากกว่าร้อยละ 25 ของการขับถ่ายทั้งหมดหรือการมีภาวะอุจจาระแข็ง ถ่ายอุจจาระไม่หมด รู้สึกตุงบริเวณทวารหนัก หรือต้องใช้นิ้วล้วงทวารหนักเพื่อช่วยการขับถ่าย และสุดท้ายคือ จำนวนการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากเกิดอาการข้างต้นมากกว่า 2 อาการถือว่ามีภาวะท้องผูก

สาเหตุการเกิดอาการท้องผูกอาจเกิดได้จาก

        1. มีความผิดปกติทางกายภาพ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติทางสรีระ หรือโรคของลำไส้ รูทวาร
ไขสันหลัง ความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการถ่ายการอุดตันของลำไส้ มะเร็งลำไส้ หรือพบร่วมกับโรคของระบบอื่น เช่น ภาวการณ์มีฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ และการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายความกังวล ยารักษาโรคจิตและอาการซึมเศร้า เป็นต้น

        2. ท้องผูกโดยไม่มีความผิดปกติทางกายภาพ เป็นอาการท้องผูกที่พบในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่
มีโรค สาเหตุอาจเกิดได้จากอุปนิสัยการขับถ่าย ความเป็นอยู่หรือสิ่งแวดล้อม อารมณ์และจิตใจก็ได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย ดื่มน้ำน้อย การขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น หรือแม้แต่การกลั้นอุจจาระเนื่องจากความรีบร้อนในการทำงาน ทำให้ละเลยต่อการปวดถ่าย
การรักษาอาการท้องผูก

         1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา กรณีภาวะที่มีอาการท้องผูกไม่รุนแรง อาการหายไปโดยไม่ต้องใช้ยาได้ ซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้

- ควรรับประทานอาหารที่มีกาก เช่น ผักต่าง ๆ และดื่มน้ำมาก ๆ
- พยายามปรับสภาพชีวิตประจำวันให้มีการออกกำลังกายให้มากขึ้น เช่น ลดการใช้ลิฟท์หรือบันไดเลื่อนแล้วใช้การเดินแทน หรือการเดินแทนการขึ้นรถในระยะทางใกล้ๆ
- บริหารร่างกายส่วนที่ให้ผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพราะจะช่วยให้ขับถ่ายได้เป็นปกติและเป็นเวลา เช่น การให้นอนราบ เอามือวางบนอก เกร็งกล้ามเนื้อให้พยุงตัวขึ้นนั่ง โดยพยายามอย่างอเข่าหรือยกเท้า ทำซ้ำเช่นนี้หลายๆครั้ง

         2. การรักษาโดยการใช้ยา เมื่อเกิดภาวะท้องผูกและมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษาควรใช้เป็น
การชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์โดยเฉพาะยากลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดยาและการเกิดกลุ่มอาการท้องผูกสลับท้องเสีย (Irritable Bowel Syndrome) ซึ่งจะทำให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ลดลงมากกว่าปกติ เยื่อเมือกบุผนังลำไส้เหี่ยวผิดปกติ กล้ามเนื้อใต้เยื่อบุผิวลำไส้หนามากขึ้น ปมประสาทเสื่อมและเกิดการสูญเสียโปรตีนทางลำไส้ได้ (อ้างอิงที่ 1)
ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulants) มีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มไดฟีนีล-มีเทน (Diphenylmethanes), น้ำมันละหุ่ง (Castor Oil), กลุ่มแอนตี้โคลีนเอสเทอเรส (Anticholinesterases), ยาเหน็บกลีเซอรีน (Glycerin), กลุ่มแอนทราซีนไกลโคไซด์ (Anthracene Glydosides) (อ้างอิงที่ 1 ) หนึ่งในยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ที่รู้จักกันดี คือ มะขามแขก ซึ่งเป็นยาในกลุ่มแอนทราซีนไกลโคไซด์ (Anthracene Glycosides)

          มะขามแขก มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือ Senna มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Senna alexandrina P. Miller หรือ Cassia angustifolia มีประวัติการนำมาใช้เป็นยาระบายมานานเกือบ 100 ปี ในใบและฝักมะขามแขกมีสารที่ชื่อ แอนทราควิโนนซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ถ่ายท้องได้ (อ้างอิงที่ 2) มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมาก รองรับสรรพคุณของมะขามแขก ดังนี้

1. ด้านสาระสำคัญในการออกฤทธิ์เป็นยาถ่าย

          มีการศึกษาพบฤทธิ์เป็นยาถ่าย สารที่ออกฤทธิ์คือ Sennoside A และ B, Aloe emodin,Dianthrone glycoside ซึ่งเป็น Anthraquinone glycoside สาร Anthraquinone glycoside สาร Anthraquinone glycoside จะยังไม่มีฤทธิ์เพิ่มการขับถ่ายเมื่อผ่านลำไส้เล็กเมื่อผ่านเข้าไปในลำไส้ ใหญ่ Sennoside A จึงถูก Hydrolyze ได้ Sennoside A8-monoglu-coside และถูก Hydrolyzed โดย Bata-glycosidase จากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ และอุจจาระได้แก่ Bacillus, E. Coli ได้ Sennidin A ส่วน Sennoside B ก็จะถูก เปลี่ยนแปลงด้วยกระบวนการเช่นเดียวกันได้ sennidin B ทั้ง Sennidin A & B จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ และถูกเปลี่ยนต่อไปเป็น Rheinanthrone ซึ่งออกฤทธิ์ต่อลำไส้ส่วน Colon โดยตรงสาระสำคัญนี้จะกระตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทซึ่งอยู่ใต้ชั้น Submucosa ทำให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ (อ้างอิงที่ 3)

2. ฤทธิ์ในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้

           มีผู้พบฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ใหญ่ (อ้างอิงที่ 3) และมีการศึกษาในอาสาสมัคร 12 คนโดยให้ดื่มชาชน
มะขามแขก เปรียบเทียบกับการรับประทานยา Erythromycin จากนั้นทำการถ่ายภาพลำไส้ใหญ่ด้วยวิธี Magnetic Resonance Imaging (MRI) ก่อนและหลังได้รับชาชงหรือยา พบว่ากลุ่มที่ได้รับชาชงมะขามแขกจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วน Colon มีการเคลื่อนไวมากกว่ากลุ่มที่ได้รับ Erythromycin อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (อ้างอิงที่ 3,4)

3. การทดลองทางคลินิกสำหรับใช้รักษาอาการท้องผูก

          มีการศึกษาในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาย หรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ที่มีอาการท้องผูก
จำนวน 92 คน อายุระหว่าง 43-82 ปี โดยให้ ผู้ป่วย 61 คน รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์ ซึ่งเป็นแคลเซียามฟอร์มของเซนโนไซด์จากใบมะขามแขกที่ใช้เป็นยาระบาย ขนาดเม็ดละ 15 มก. 2 เม็ด ก่อนนอนทุกคืน หลังผ่าตัดในวันที่ 1 และให้รับประทานติดต่อกันจนถึงวันที่ 7 หลังการผ่าตัด และคนไข้อีก 31 คน เป็นกลุ่มควบคุมไม่ได้รับยาระบายใด ๆ พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์ถ่ายอุจจาระคล่อง ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 4 หลังรับประทานยา คิดเป็นร้อยละ 90 การถ่ายอุจจาระเฉลี่ยวันละ 1.23 ครั้ง/คน ส่วนกลุ่มควบคุมมีเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น ที่ถ่ายอุจจาระคล่องสัดส่วนของการถ่ายอุจจาระคล่องในผู้ป่วยที่รับประทานยา แคลเซียมเซนโนไซด์มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (อ้างอิงที่ 3)

           นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก จำนวน 81 ราย อายุระหว่าง 52-86 ปี โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้รับยา กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ได้รับยาเม็ดมะขามแขก 2 เม็ดก่อนนอนทุกคืน หลังผ่าตัดในวันที่ 1 ติดต่อกันนาน 14 วัน กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ได้รับยาระบาย Milk of Magnesia (MOM) 30 มล. ก่อนนอน นาน 14 วันจากนั้นทำการบันทึกลักษณะอุจจาระและจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ พบว่าสัดส่วนของผู้ที่มีอาการท้องผูกและท้องเสียมีความแตกต่างกันระหว่าง 3 กลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลุ่มควบคุมถ่ายอุจจาระไปทางแข็งที่ไม่พึงประสงค์มากกว่ากลุ่มอื่น ส่วนกลุ่ม MOM ถ่ายไปในทางเหลวและน้ำมากกว่ากลุ่มอื่นจากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า การใช้ยาเม็ดมะขามแขกในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก จะช่วยให้การถ่ายอุจจาระในลักษณะที่พึงประสงค์ (ปกติและเหลว) ได้ดีกว่าการใช้ยา MOM (อ้างอิงที่ 3)

            มีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติม โดยให้มารดาที่อยู่ในช่วงให้นามบุตรหลานมะขามแขก พบว่าใช้ได้ผลดีและไม่มีผลกระทบไปถึงทารก (อ้างอิงที่ 3,5)

เอกสารอ้างอิง

1. เอกสารเผยแพร่เรื่อง การใช้ยาระบาย กลุ่มพัฒนาระบบ กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงาน
คณะกรรมการอาหารและยา http://www.oryar.com/oryor/admin/module/fda_info/file/f_39_1171707297.pdf
2. มะขามแขก องค์การเภสัชกรรม http://www.gpo.or.th/herbal/senna/senna.htm
3. มะขามแขก สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร ณ สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.medpiant.mahidol.ac.th/pubhealth/index.asp
4. Assessment of large bowel motility by cine magnetic resonance imaging using two different prokinetic agents: a feaslbllity study. Invest Radiol. 2005 Nov;40(11):689-94.
5. Clinical study of Senna Administration to Nursing Mothers Assessment of Effects on lnfant Bowel Hobits. Can Med Assoc J. 1963 September 14: 89(11): 566-568.

Foods for Fitness

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโภชนาการและสารอาหารเพื่อการออกกำลังกาย

ครีเอทีน (Creatine)


           ให้พลังงานแก้กล้ามเนื้อและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ (Muscle mass) และความทนทานในการออกกำลังกาย (Endurance) Creatine เป็นสารอาหารที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ ทำหน้าที่สร้างพลังงานให้กับเซลล์ มีงานวิจัยในผู้ที่ออกกำลังกายและรับประทานอย่างต่อเนื่องพบว่า สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและกำลังของกล้ามเนื้อได้จริงและทำให้กล้ามเนื้อ ออกกำลังได้ยาวนาน (อ้างอิงที่ 1) ยังมีงานวิจัยในอาสาสมัครหญิงและชายอย่างละ 15 คน โดยรับประทานปริมาณมากถึง 20 กรัมต่อวัน เพียง 5 วัน ก็พบว่ามีกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น (เพิ่ม fat free muscle mass) (อ้างอิงที่ 2) ปัจจุบัน Creatine เป็นทีนิยมแพร่หลายในกลุ่มนักกีฬา เป็นที่ยอมรับในความปลอดภัย เพราะมีงานวิจัยที่รับประทานครีเอทีนเสริมเป็นระยะเวลายาวนาน พบว่ามีความปลอดภัยแม้จะรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 4 ปี (อ้างอิงที่ 3)
ขนาดรับประทาน

           ในกลุ่มนักกีฬา สำหรับผู้ชาย ขนาดที่แนะนำคือ วันละ 3-5 กรัม โดยอาจรับประทานครั้งเดียวก่อนออกกำลังกายประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง หรือสามารถแบ่งรับประทานก่อนออกกำลังกายประมาณ 2-3 กรัม และหลังออกกำลังกาย 60 นาที อีกประมาณ 1-2 กรัมก็ได้สำหรับสุภาพสตรี อาจลดลงครึ่งหนึ่งของสุภาพบุรุษ ขนาดรับประทานทั้งหมดสามารถปรับขนาดให้น้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้เล็กน้อยได้ ในสุภาพบุรุษที่เล่นกล้ามเพาะกายมักจะรับประทานถึง 20 กรัมต่อวัน ถ้ารับประทานเป็นระยะเวลานาน แนะนำให้รับประทานไม่เกินวันละ 5 กรัม
ผลข้างเคียง

          ผลข้างเคียงทีมีรางานพบได้แต่น้อยมากคือ อาการท้องเสียและอาการตะคริว สำหรับเรื่องของตะคริวอาจจะเกิดจากการอกกำลังกายที่หักโหมเกินไป หรือมีภาวะขาดแคลเซียมร่วมด้วย
ข้อห้าม

          ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตทุกชนิด แต่ในคนปกติจะไม่มีผลเสียใด ๆ ทั้งสินต่อไต แม้จะรับประทานเป็นระยะเวลานาน (อ้างอิงที่ 4) นอกจากนี้ก็ไม่แนะนำในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ เด็ก และสตรีมีครรภ์
บรานช์ -เชน อะมิโน แอซิด

(Branched chain amino acid: BCAAs)

          Branched chain amino acid คือ กรดอะมิโนจำเป็นชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง มีอยู่ด้วยกันสามตัว คือ ลิวซีน (Leucine), ไอโซลิวซีน (Isoleucine) และ วาลีน (Valine) กรืออะมิโนจะเป็นองค์ประกอบของโปรตีนในกล้ามเนื้อ แต่ที่พี่เศษคือ Branched chain amino acid เป็นรดอะมิโนที่สามารถเผาผลาญได้โดยตรงในเซลล์ของกล้ามเนื้อในขณะออกกำลัง กาย ร่างกายจะสามารถใช้ BCAAs เป็นแหล่งพลังงาน เป็นผลให้กล้ามเนื้อแข็งแรงช่วยให้ออกกำลังได้นานขึ้น ไม่อ่อนล้า (อ้างอิงที่ 5-7) เป็นที่นิยมใช้ในอาหารเสริมประเภทเสริมกล้ามเนื้อเป็นอย่างมาก
เวย์โปรตีน คอนเซนเทรก

(Whey Protein Concentrate)

           เป็นโรตีนสกัดเข้มข้นจากหางนม (Whey Protein) หางนมนี้จะมีโปรตีนเข้มข้นมากกว่าในไข่ ในนมถั่วเหลือง และเนื้อสัตว์นอกจากนี้จะมีกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 8 ชนิดที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้แล้วยังมี Branched chain amino acid จำนวนมากอีกด้วย และมีกรดอะมิโน Glutamine ซึ่งจะช่วนเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนและไกลโคเจน เพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ กระตุ้นระดับของ Growth hormone และเพิ่มภูมิคุ้มกัน มีการวิจัยว่าการรับประทานโปรตีนจากหางนม Whey Protein ตามหลังการออกกำลังกาย จะเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ (อ้างอิงที่ 8) และเมื่อให้โปรตีนจากหางนมร่วมกับ Creatine จะพบว่า มีการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ (วัดจาก Lean body mass) มากกว่าให้แต่โปรตีนอย่างเดียว (อ้างอิงที่ 9) โปรตีนจากหางนมยังมีสาระสำคัญอีกมากมาย เช่น Lactoferrin Betalatoglobulin Alpha-lactabumin Glycomacropeptide และ Immunoglobulins ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วนส่งเสริมระบบภูมิต้านทานของร่างกาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีงานวิจัยในการช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บอีกจำนวนมาก เช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี และโคกระดูกพรุน (อ้างอิงที่ 10)

แอล -คาร์นิทีน (L-Carnitine)

เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เอง มีประโยชน์ในการช่วยเผาผลาญกรดไขมัน เป็นตัวนำกรดไขมันชนิด Long chain เข้ามาสู่ไมโตคอนเดรียของเซลล์กล้ามเนื้อ มาสร้างเป็นพลังงานในกล้ามเนื้อ (อ้างอิงที่ 11) นั้นคือทำให้กล้ามเนื้อสามารถใช้พลังงานโดยการสลายไขมันได้ เป็นที่นิยมใช้ในนักกีฬาจำนวนมาก ปัจจุบันมีงานวิจัยที่ชดเจนว่า สามารถช่วยในเรื่องของความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย โดยสามารถลดเวลาพักฟื้นของกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกาย (อ้างอิงที่ 12)

เอกสารอ้างอิง

1. Long-term creatine intake beneficial to muscle performance during resistance training. J Appl Physial. 1997 Dec;83(6):2055-63.
2. Acute creatine loading increases fat-free mass. But does not affect blood pressure. Plasma creatinine. Or CK activity in men and women. Med Sci Sports Exerc. 2000 Feb:32(2):291-6
3. Creatine supplementation and health variables: a retrospective study. Med Sci Sports Exerc. 2001 Feb;33(2):183-8
4. Long-term creatine supplementation does not significantly affect clinical markers of health in athletes Mol Cell Biochem. 2003 Feb;244(1-2):95-104.
5. Influence of ingesting a solution of branched-chain amino acids on perceived ebercise. : Acia Physiol Scand. 1997 Jan;159(1):41-9
6. Branched-chain amino acids prolong exercise during heat stress in men and women. Med Sci Sports Exerc. 1998 Jan;30(1):83-91
7. Stimulation of muscle ammonia production during exercise following branched-chain amino acid supplementation in humans. J Physial. 1996 Jun 15;493 ( Pt 3):909-22
8. Ingestion of casein and whey proteins result in muscle anabolism other resistance exercise. Med Sci Sports Exerc. 2004 Dec:36(12):2073-81.
9. The effect of whey protein supplementation with and without creatine monohydrate combined with resistance train on lean tissue mass and muscle strength. Int J Sports Nutr Exerc Metab. 2001 Sep;11(3):349-64.
10. Therapeutic applications of whey protein. Altern Med Rev. 2004 Jun;9(2):136-56
11. Carnitine and physical exercise. Sports Med. 1996 Aug:22(2):109-32.
12. L-Carnitine L-tartrate supplementation favorably affects markers of recovery form exercise stress Am K Physial Endocrinol Metab. 2002 Feb;282(2):E474-82

สามารถนำรหัสสมาชิก 47024879 ไปซื้อได้ที่สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับทุกๆ ความคิดเห็น